
กูรู ชี้ราคาทองคำยังเป็นขาขึ้น มองเป้าหมายปี 69 ที่ 4,500 – 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แรงหนุนจากธนาคารกลางทั่วโลกยังแห่ตุนต่อเนื่อง เงินดอลลาร์อ่อนค่า และดอกเบี้ยขาลง หลังเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.นี้ เพื่อพยุงเศรษฐกิจสหรัฐฯ จับจังหวะราคาย่อตัวที่ 3,991-4,200 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ทยอยเก็บสะสม
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) กล่าวว่า การรายการการเข้าซื้อทองคำในเดือนตุลาคมของธนาคารกลางที่ยังคงแข็งแกร่งมียอดรวม 53 ตัน เพิ่มขึ้น 36% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนให้เห็นว่าความต้องการทองคำของธนาคารกลางในปี 2568 มีความแข็งแกร่งตลอดทั้งปี แม้ยอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่มกราคมถึงตุลาคมจะเป็นอัตราที่ช้าลงเมื่อเทียบกับสามปีที่ผ่านมา อันเป็นผลมาจากราคาทองคำที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ตามคาดว่าเทรนด์การซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงอยู่ในทิศทางการเข้าซื้อต่อไป โดยล่าสุดพบว่าธนาคารกลางแห่งชาติโปแลนด์ ได้กลับมาเข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากหยุดการซื้อไปตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ขณะที่ธนาคารกลางบราซิล ซื้อทองคำเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน โดยเพิ่ม 16 ตันในเดือนตุลาคม หลังจากเข้าซื้อ 15 ตันในเดือนกันยายน นอกจากนี้ธนาคารกลางอุซเบกิสถาน ซื้อเพิ่ม 9 ตัน ธนาคารแห่งอินโดนีเซีย ซื้อเพิ่ม 4 ตัน ธนาคารกลางตุรกี ซื้อเพิ่ม 3 ตัน ธนาคารแห่งชาติเช็กซื้อเพิ่ม 2 ตัน ธนาคารแห่งชาติสาธารณรัฐคีร์กีซซื้อเพิ่ม 1 ตัน ธนาคารแห่งกานาซื้อเพิ่ม 1 ตัน ธนาคารประชาชนจีนซื้อเพิ่ม 1 ตัน ธนาคารแห่งชาติคาซัคสถานซื้อเพิ่ม 1 ตัน และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ซื้อเพิ่ม 1 ตัน
ทั้งนี้หากพิจารณาจากราคาทองคำตั้งแต่ต้นปีที่เปิดตลาดในเดือน ม.ค. ที่ ประมาณ 2,624 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ จนกระทั่งเมื่อเดือน ต.ค. ราคาพุ่งขึ้นไปสูงกว่า 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ถือว่าราคาพุ่งตัวขึ้นไปอย่างมากแต่ธนาคารยังคงเข้าซื้อทองคำเพิ่ม แสดงว่านโยบายของธนาคารกลางต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเงินของประเทศและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกมากกว่าเรื่องราคา โดยเฉพาะการกระจายความเสี่ยงและลดการพึ่งพาดอลลาร์สหรัฐ (Diversification & De-Dollarization) การป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อและการรับมือกับความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจ
ดังนั้นวายแอลจีประเมินว่าในปี 2569 ธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงเดินหน้านโยบายการซื้อทองคำต่อไป และจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น ประกอบกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาลงในช่วงนี้จะเป็น 2 ปัจจัยหลักสำคัญที่ผลักดันราคาทองคำให้ทรงตัวอยู่ในระดับสูง โดยวายแอลจีให้เป้าหมายราคาทองคำปี 2569 ที่ 4,900-4,500 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หรือหากคิดเป็นราคาทองคำในประเทศโดยคำนวณจากค่าเงินบาทที่ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จะมีเป้าหมายที่ 75,000 – 68,000 บาทต่อบาททองคำ
อย่างไรก็ดีราคาทองคำจะมียังหวะที่ถูกเทขายทำกำไรเป็นระยะ นักลงทุนที่ต้องการเข้าซื้อสามารถรอจังหวะเข้าซื้อได้ หากราคาทองคำย่อตัวลงที่ระดับ 4,074 – 3,991 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ส่วนนักลงทุนที่สนใจลงทุนกับ YLG สามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆผ่านแอปพลิเคชัน YLG Get Gold ที่เปิดให้บริการสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในทองคำโดยใช้เงินลงทุนเพียง 100 บาท ได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากตอบโจทย์การลงทุนของคนรุ่นใหม่ที่สามารถซื้อ-ขายทองคำ Gold Spot แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง
ด้าน นางสาวอารีรัตน์ มุราชัย หัวหน้านักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD เปิดเผยว่า ภาพรวมราคาทองคำยังเคลื่อนไหวในเชิงบวก โดยราคายังสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญที่บริเวณ 4,155 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ ได้อย่างมั่นคง หากระดับดังกล่าวยังถูกประคองไว้และมีแรงซื้อเข้ามาต่อเนื่อง ราคาทองคำมีโอกาสขยับขึ้นไปทดสอบแนวต้านถัดไปที่ 4,300 และ 4,380 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ตามลำดับ ซึ่งเทียบเป็นราคาทองไทยประมาณ 64,800 และ 66,000 บาท ดังนั้นจึงแนะนำกลยุทธ์ “รอย่อซื้อ” ที่บริเวณแนวรับ 4,200 / 4,175 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์หรือราคาทองไทยประมาณ 63,500 / 63,000 บาท
ทั้งนี้ หากราคาทองคำอ่อนตัวแต่ไม่หลุดต่ำกว่า 4,150 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์หรือราว 62,800 บาท ยังถือว่าโครงสร้างภาพรวมเป็นขาขึ้น ขณะเดียวกัน หากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการลดดอกเบี้ย ก็จะยิ่งช่วยหนุนให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับแรงหนุนที่สำคัญ ภายใต้ปัจจัยความคาดหวังต่อนโยบายอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีทรัมป์เปิดเผยถึงการได้ตัดสินใจเลือกผู้ที่จะเสนอชื่อเป็นประธานเฟดคนใหม่แล้ว และคาดหวังว่าผู้ที่ถูกเลือกจะดำเนินนโยบายลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนตลาดทองคำ โดยมีชื่อของนาย Kevin Hassett ที่ปรึกษาเศรษฐกิจใกล้ชิดทรัมป์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นตัวเต็งที่จะเข้ารับตำแหน่ง ต่อจากนาย Jerome Powell ซึ่งปัจจัยดังกล่างจึงช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นในเชิงบวกต่อทองคำและสินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ
“ตลาดกำลังประเมินโอกาสเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยช่วง ธ.ค.นี้ โดยล่าสุด FedWatch Tool ประเมินความเป็นไปได้สูงถึงประมาณ 89% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน จากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เริ่มอ่อนแรงลง ทั้งภาคแรงงาน, การใช้จ่ายผู้บริโภค และความเชื่อมั่น ทำให้สนับสนุนแนวคิดที่ว่า เฟดอาจต้องลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจ และความคาดหวังดังกล่าวส่งผลให้เกิดแรงหนุน ทำให้ราคาทองคำสามารถยืนเหนือแนวรับสำคัญได้อย่างแข็งแกร่ง”
ขณะเดียวกัน ข้อมูลจาก Goldman Sachs ได้ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกของตลาดต่อทองคำ โดยกว่า 70% ของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกมองว่า ทองคำยังคงอยู่ในรอบขาขึ้น และมองเป้าหมายระยะยาวในโซน 4,500 – 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์หรือสูงกว่า โดยแรงหนุนสำคัญมาจากหลายปัจจัย ได้แก่ การเข้าซื้อของธนาคารกลาง, การอ่อนค่าของดอลลาร์, ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์, และความต้องการกระจายความเสี่ยงจากหุ้นและคริปโต ดังนั้นมุมมองดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่าในปัจจุบันทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ควรถือมากกว่าควรขาย

บรรรณาธิการข่าว สำนักข่าว อีไฟแนนซ์ไทย
ไม่มีรายการ