
เมื่อพูดถึง “บิตคอยน์” ภาพจำของคนทั่วไปอาจจะเป็นความผันผวน กราฟราคาวิ่งขึ้นลงอย่างบ้าคลั่ง หรือแม้กระทั่งการเก็งกำไรตามรอบของฮาล์ฟวิ่ง แต่หากย้อนไปวันนี้เมื่อ 17 ปีก่อน เราจะพบว่าเจตนารมณ์ที่แท้จริงของบิตคอยน์นั้นลึกซึ้งกว่านั้นมาก มันคือปรัชญาของการทวงคืนอำนาจทางการเงินกลับสู่ปัจเจกบุคคล
วันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2008 บุคคลปริศนาภายใต้นามแฝง "ซาโตชิ นากาโมโตะ" (Satoshi Nakamoto) ได้เผยแพร่เอกสารความยาวเพียง 9 หน้าที่มีชื่อว่า Bitcoin: A Peer-to-Peer Electronic Cash System ไปยังกลุ่มนักวิทยาการเข้ารหัสลับ (cryptography mailing list)
เอกสารฉบับนี้ไม่ได้มาพร้อมกับคำโฆษณาชวนเชื่อหรือการเก็งกำไร แต่มันคือการนำเสนอทางออกเชิงวิศวกรรมต่อปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการเงิน "ระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer" หรือการที่คนสองคนส่งเงินหากันได้โดยตรงเสมือนการยื่นเงินสดให้กัน แต่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ โดยไม่ต้องง้อคนกลางอย่างธนาคาร
ลองนึกภาพเวลาเราใช้บัตรเครดิตหรือการโอนเงินจะมี “ธนาคาร” เข้ามาเป็นตัวกลางในการจัดการและยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม แม้ระบบนี้จะทำงานได้ดีแต่ Nakamoto มองว่าโดยธรรมชาติของระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบดั้งเดิมยังมีจุดอ่อน ประเด็นสำคัญ ดังนี้
1.ทำธุรกรรมแล้วยกเลิกได้ : ธุรกรรมไม่สามารถ “จบแบบสมบูรณ์” ได้จริง เช่น เราจ่ายเงินค่าบริการไปแล้ว ตอนหลังไม่พอใจเกิดปัญหาบางอย่างไปแจ้งธนาคาร ทำให้ธนาคารในฐานะคนกลางต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทและอาจยกเลิกหรือย้อนคืนธุรกรรมที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ ในขณะที่ผู้ค้าขายมีความไม่แน่นอนว่าพวกเขาจะได้รับเงินจริง ๆ หรือไม่ทั้งที่ให้บริการไปแล้ว (ซึ่งย้อนกลับคืนไม่ได้)
2.ค่าธรรมเนียมแพง: สถาบันการเงินไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเป็นตัวกลางในการแก้ไขข้อพิพาทได้ การมีตัวกลางเช่นนี้ทำให้เกิด “ต้นทุนการไกล่เกลี่ย” ซึ่งเพิ่มต้นทุนการทำธุรกรรมโดยรวม และจำกัดขนาดขั้นต่ำของธุรกรรมที่สามารถทำได้จริง ส่งผลให้ธุรกรรมขนาดเล็กหรือแบบไม่เป็นทางการแทบเกิดขึ้นไม่ได้
3.ปัญหาใช้เงินซ้ำ : เมื่อเงินกลายเป็นข้อมูลดิจิทัล ปัญหาสำคัญคือจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเจ้าของเหรียญไม่ได้นำเหรียญเดียวกันไปใช้จ่ายซ้ำกับหลายฝ่าย ซึ่งระบบเดิมแก้ปัญหานี้โดยอาศัยอำนาจของตัวกลางในการตรวจสอบ Nakamoto ได้เสนอทางออกที่ไม่ใช่การ "เชื่อใจ" สถาบันใดสถาบันหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นการเปลี่ยนไปสู่สิ่งที่ "พิสูจน์ได้ด้วยการเข้ารหัส" (Cryptographic Proof) เพื่อให้ธุรกรรมที่ได้รับการยืนยันแล้วไม่สามารถยกเลิกได้ เช่น
-การกำจัดการใช้เงินซ้ำ : เพื่อแก้ปัญหา Double-Spending โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลาง ธุรกรรมทั้งหมดจะต้องถูกประกาศต่อสาธารณะ และใช้ Timestamp Server ที่กระจายตัวแบบ Peer-to-Peer เพื่อสร้างหลักฐานทางคณิตศาสตร์ของลำดับเวลาที่เกิดธุรกรรม
-Proof-of-Work (PoW) : เครือข่ายใช้ระบบ PoW ซึ่งคล้ายกับ Hashcash เพื่อให้เกิดฉันทามติ PoW กำหนดให้ Node ต้องใช้พลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ (CPU) ในการหาค่าแฮชที่ถูกต้องเพื่อสร้างบล็อก โดยหลักการคือ "หนึ่ง CPU ต่อหนึ่งเสียง" ห่วงโซ่ที่ยาวที่สุดจะถูกพิจารณาว่าเป็นประวัติที่ถูกต้องที่สุด
-ความปลอดภัยจากการโจมตี : การจะเปลี่ยนแปลงบล็อกในอดีตนั้น จะต้องทำซ้ำ Proof-of-Work ของบล็อกนั้นและบล็อกที่ตามมาทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ในทางคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทำได้จริงหาก Node ที่ซื่อสัตย์ยังคงควบคุมกำลัง CPU ส่วนใหญ่ไว้
-แรงจูงใจในการซื่อสัตย์ : Node ที่สร้างบล็อกสำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นเหรียญใหม่และค่าธรรมเนียมธุรกรรม Nakamoto ระบุชัดเจนว่า ผู้โจมตีที่มีกำลัง CPU มากกว่าจะพบว่าการปฏิบัติตามกฎเพื่อรับเหรียญใหม่นั้นทำกำไรได้มากกว่าการบ่อนทำลายระบบ และทำลายความมั่งคั่งของตนเอง
ดังนั้น ในโอกาสครบรอบ 17 ปีของเอกสารชิ้นนี้ จึงเป็นเครื่องเตือนใจว่า บิตคอยน์คือระบบเงินสดอิเล็กทรอนิกส์แบบ Peer-to-Peer ที่มอบอำนาจและอิสรภาพทางการเงินผ่านวิทยาศาสตร์และหลักฐานทางคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงและยิ่งใหญ่กว่ากระแสการเก็งกำไรในตลาด
มันคือโอกาสอันดีที่เราจะกลับมาทบทวนถึง "เหตุผล" ที่บิตคอยน์ถือกำเนิดขึ้นและมองให้ไกลกว่าราคาบนหน้าจอ เพื่อให้เห็นถึงมรดกที่แท้จริงที่ซาโตชิได้มอบไว้ให้กับโลกใบนี้
References :
https://bitcoin.org/bitcoin.pdf
https://scholars.cityu.edu.hk/ws/portalfiles/portal/222604159/197553512.pdf
https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_bitcoin
https://blockchain-review.co.th/blockchain-review/bitcoin-white-paper/