
โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน หรือที่ชุมชนคริปโทมักจะเรียกเขาว่า “Crypto President” ชื่อเล่นที่เขาอาจไม่ตั้งใจรับ แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่จะใช้ประโยชน์จากมัน
หากใครยังจำได้ ในปี 2019 ทรัมป์ประกาศชัดว่า “ผมไม่ใช่แฟนของ Bitcoin หรือคริปโท” แต่ในเวลาเพียงแค่ 6 ปี ทรัมป์กลับกลายเป็นเจ้าของอาณาจักรคริปโทที่มีกำไรนับพันล้านดอลลาร์ และถ้าเกิดใครมีคำถามว่าคริปโทช่วยให้ใครรวยขึ้นบ้าง คำตอบอาจไม่ต้องมองไปไหนไกล อยู่ที่ทำเนียบขาวนี่เอง

จุดเริ่มต้นของการเข้าวงการคริปโทของทรัมป์ เริ่มจากในเดือนธันวาคม 2022 ที่ทรัมป์ซึ่งได้พ้นตำแหน่งประธานาธิบดีไปแล้ว เขาได้เปิดตัว NFT คอลเลกชันแรกในชื่อ Trump Digital Trading Cards ภาพชายวัย 70 กว่า บนบล็อกเชน Polygon ราคาชิ้นละ 99 ดอลลาร์
ฟังดูเหมือนแค่ของสะสมขำ ๆ แต่ด้วยความที่มีคำว่า “Trump” นั่นทำให้ NFT ขายหมดภายใน 24 ชั่วโมงสร้างรายได้กว่า 4.5 ล้านดอลลาร์ โดยไม่ต้องโปรโมทหนักเหมือนโปรเจกต์อื่น ๆ เลย
ไม่นานหลังจากนั้น เขาเริ่มต่อยอดความสำเร็จเหมือนเกมเมอร์ที่กดคอมโบติด และเปิดตัว NFT Series 2 ในปี 2023 พร้อมภาพชุดใหม่และรางวัลที่ล่อตาล่อใจมากขึ้น ตั้งแต่สิทธิ์เข้าร่วมดินเนอร์กับทรัมป์ ไปจนถึงของที่ระลึกเฉพาะบุคคล
และเมื่อถึงปลายปีเดียวกัน เขาก็ได้ออกคอลเลกชันที่สามอย่าง “Mugshot Edition” ที่ใช้ภาพวันถูกจับจริงเป็นธีม ซึ่งเป็นของสะสมที่สะท้อนว่าทรัมป์สามารถเปลี่ยน “คดีความ” ให้กลายเป็น “กระแสรายได้” ได้อย่างแนบเนียน
ทุกครั้งที่ตลาดตั้งคำถามว่า “ชื่อ Trump จะขายไปได้อีกนานแค่ไหน” ราคาของสินทรัพย์ที่ติดตรานี้ ไม่ว่าจะออกโดยทรัมป์เองหรือใครก็ตามที่อ้างถึงเขา ก็มักจะพุ่งขึ้นแทบทุกครั้งราวกับกลไกอัตโนมัติของตลาด เพราะตราบใดที่ยังมีคำว่า “Trump” บนปก มันก็ยังขายได้เสมอ
WLFI: เมื่อครอบครัวทรัมป์กระโดดเข้าโลกคริปโท
ปี 2024 เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ “อาณาจักรคริปโท” ของทรัมป์อย่างแท้จริง — ปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เขากลับมาลงแข่งอีกครั้ง เพื่อทวงเก้าอี้ผู้นำโลกเสรีในสมัยที่สอง
ในเดือนพฤษภาคม ทรัมป์เปิดแคมเปญรับบริจาคด้วยคริปโทเป็นครั้งแรก เพื่อระดมทุนหาเสียงในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในเดือนพฤศจิกายน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่เพียงสะท้อนความเข้าใจในโลกการเงินยุคใหม่ แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายาม “รีแบรนด์” ตัวเองให้เข้ากับยุคบล็อกเชน
และในเดือนกันยายน เขาก็ประกาศเปิดตัว World Liberty Financial (WLFI) โปรเจกต์ DeFi แบบครบวงจรของครอบครัวทรัมป์อย่างเป็นทางการ
ในเว็บไซต์ของ WLFI ระบุให้ทรัมป์เป็น “ผู้ร่วมก่อตั้งกิตติมศักดิ์” ส่วนลูกชายทั้งสามคน Eric Trump, Donald Trump Jr. และ Barron Trump นั่งแท่นเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
ผ่าน WLFI ครอบครัวทรัมป์ได้ก้าวจากแบรนด์การเมือง สู่ผู้เล่นในตลาดการเงินดิจิทัลแบบเต็มตัว ไม่เพียงแค่ถือโทเคน แต่เดินหน้าสร้าง “โครงสร้างระบบการเงินของตัวเอง” ที่เชื่อมโยงบล็อกเชนกับโลกของธนาคารและสินทรัพย์ดั้งเดิม
แพลตฟอร์ม WLFI ถูกโปรโมตว่าจะให้บริการตั้งแต่ digital wallet, การกู้–ให้ยืม, governance token ไปจนถึงสเตเบิลคอยน์ที่ใช้ได้เหมือนเงินสดในชีวิตประจำวัน และภายในเวลาไม่นาน มูลค่าตลาดของโครงการก็ถูกประเมินทะลุหลายพันล้านดอลลาร์
จากแคมเปญการเมืองสู่สินทรัพย์ดิจิทัล
หลังจากเปิดตัวโครงการได้ไม่นาน WLFI ก็เริ่มเปิดให้ซื้อขายในรอบ public sale ในเดือนตุลาคม 2024 โดยใช้ชื่อว่า $WLFI ซึ่งถูกนิยามว่าเป็น “โทเคนแห่งเสรีภาพทางการเงิน”
ในทางเทคนิค มันก็คือ governance token ที่ให้ผู้ถือสามารถร่วมโหวตทิศทางของแพลตฟอร์ม DeFi ได้ แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ถือรายใหญ่ที่สุดกลับเป็นบริษัทในเครือของตระกูล Trump ซึ่งถือครองรวมกว่า 60% ของ supply ทั้งหมดผ่านบริษัทชื่อ DT Marks DeFi LLC อีกทั้งยังเป็นผู้ถือหุ้นรายเดียวอีกด้วย
ตามรายงานของ Reuters ระบุว่า การขายรอบแรกของ WLFI ระดมทุนได้กว่า 550 ล้านดอลลาร์ ในเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ ขณะที่ครอบครัว Trump มีสิทธิ์รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายโทเคนสูงถึง 75%
ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็น Family Finance มากกว่าเป็น Decentralized Finance
USD1: “สเตเบิลคอยน์” ที่มั่นคงด้วยชื่อทรัมป์
ไม่กี่เดือนถัดมา ในเดือน มีนาคม 2025 WLFI เปิดตัว USD1 สเตเบิลคอยน์ของตัวเองที่ผูกกับดอลลาร์ สหรัฐฯ และอ้างว่าได้รับการสนับสนุนจาก “กองทุนสภาพคล่องส่วนตัว” ของ Alt5 Sigma บริษัทฟินเทคที่ Eric Trump นั่งอยู่ในบอร์ด
USD1 ถูกวางให้เป็นหัวใจของระบบ WLFI ใช้ในการกู้ยืม ชำระเงิน และซื้อขายใน ecosystem ของแพลตฟอร์ม โดยโปรโมตว่า “มั่นคงกว่า USDT และโปร่งใสกว่า USDC”
โดยในเวลาเพียง 6 เดือน USD1 ก็กลายเป็นหนึ่งในสเตเบิลคอยน์ที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก แตะระดับกว่า 2.6 พันล้านดอลลาร์ และถูกใช้เป็นสื่อกลางหลักในระบบ WLFI เกือบทั้งหมด ทำให้ WLFI กลายเป็น DeFi แห่งแรกที่มี “เหรียญครอบครัว” หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของตัวเอง

Genius Act: กฎหมาย Stablecoin ฉบับแรกของสหรัฐฯ
หลังจากที่ USD1 กลายเป็นหัวใจของระบบ WLFI ได้เพียงไม่กี่เดือน ทรัมป์ก็ขยับหมากครั้งใหม่ คราวนี้ไม่ใช่แค่ “ออกเหรียญ” แต่คือ “ออกกฎหมาย” เพื่อรองรับเหรียญนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ
ในเดือนกรกฎาคม 2025 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามใน GENIUS Act หรือ Guiding and Establishing National Innovation for U.S. Stablecoins ซึ่งถือเป็น กฎหมาย Stablecoin ฉบับแรกของสหรัฐฯ และเป็นการยกระดับสินทรัพย์ดิจิทัลจากพื้นที่ทดลองของนักเทคโนโลยี สู่ “นโยบายระดับชาติ” อย่างเป็นทางการ
ทรัมป์กล่าวในพิธีลงนามว่า “นี่คือชัยชนะครั้งใหญ่ของวงการคริปโทฯ ที่เคยถูกดูแคลนและไม่เคยถูกรับฟัง แต่วันนี้ได้รับการยอมรับในระดับนโยบายของประเทศ” พร้อมเหน็บรัฐบาลไบเดนว่า “ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าคนในอุตสาหกรรมพูดเรื่องอะไรกัน”
ภายใต้กฎหมาย Genius Act ผู้ออก Stablecoin จะต้องสำรองมูลค่าไว้ครบ 100% ด้วยดอลลาร์สหรัฐหรือพันธบัตรรัฐบาล และต้องรายงานข้อมูลทุนสำรองต่อสาธารณะเป็นรายเดือน รวมถึงปฏิบัติตามกฎต่อต้านการฟอกเงินและมาตรการคว่ำบาตรทางการเงินอย่างเคร่งครัด
นอกจากนี้ยังห้ามเจ้าหน้าที่ระดับสูงในฝ่ายบริหาร รวมถึงสมาชิกรัฐสภา ออกเหรียญ Stablecoin ระหว่างดำรงตำแหน่ง เพื่อป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ขณะเดียวกันกฎหมายก็เปิดทางให้ธนาคารและนิติบุคคลที่ไม่ใช่ธนาคารสามารถออก Stablecoin ได้ หากปฏิบัติตามเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้
อย่างไรก็ตาม ฝ่ายเดโมแครตนำโดยวุฒิสมาชิก Elizabeth Warren ออกมาเตือนว่า Genius Act อาจเร่งการคอร์รัปชันเชิงโครงสร้างผ่านเหรียญ World Liberty Financial USD (USD1) ซึ่งเปิดตัวโดยครอบครัวทรัมป์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า “การผ่านร่างนี้เท่ากับเปิดประตูให้ผู้ซื้อแบบไม่ระบุตัวตนและทุนต่างชาติใช้เหรียญของประธานาธิบดีเหมือนบัญชีลับได้โดยตรง”
แม้ Warren จะมองว่า “กฎหมายอ่อนแอแบบนี้ เลวร้ายยิ่งกว่าการไม่มีกฎหมายเสียอีก” แต่สำหรับฝ่ายรัฐบาล นี่คือชัยชนะที่ส่งสัญญาณว่าคริปโทฯ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายระดับชาติแล้ว
และในขณะที่หลายคนมองว่า Genius Act คือก้าวสำคัญของนวัตกรรมการเงิน ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่ากฎหมายที่ผลักดันขึ้นอย่างเร่งด่วนนี้ เกิดจากวิสัยทัศน์ที่อยากสนับสนุนนวัตกรรมคริปโทของประธานาธิบดี หรือจากผลประโยชน์ของเหรียญที่ชื่อว่า USD1 กันแน่
การขยายอิทธิพล: จาก DeFi สู่ “Family Finance”
เมื่อโครงสร้างทางการเงินเริ่มแข็งแรง WLFI ก็ขยับเข้าสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินครบวงจร
เช่น WLFI Lend, WLFI Vault, และ WLFI Treasury Program ที่เปิดให้ผู้ใช้สามารถฝากสินทรัพย์เข้าระบบเพื่อรับผลตอบแทนสูงสุด 12% ต่อปี
นักวิเคราะห์บางคนมองว่า WLFI เป็น “ธนาคารเงา” (Shadow Bank) เพราะแม้จะอ้างว่าเป็น DeFi แต่การบริหารจัดการกลับรวมศูนย์อยู่ในมือผู้ถือหุ้นเพียงไม่กี่คน โดยเฉพาะ Eric และ Donald Trump Jr. ที่มีอำนาจในทุกระดับของการตัดสินใจ
ในขณะที่ Barron Trump ลูกชายคนเล็กวัย 19 ปี ก็ถูกแต่งตั้งให้เป็น “DeFi Visionary” ของแพลตฟอร์ม โดย WLFI ใช้ภาพของเขาเป็นสัญลักษณ์แห่ง “คนรุ่นใหม่ของเสรีภาพทางการเงิน” เสรีภาพที่น่าชื่นชม หากไม่ติดว่าผลตอบแทนจากโครงการส่วนใหญ่ยังกลับไปสู่ตระกูลเดียวกัน
จุดสูงสุดของ WLFI: เมื่อ “เสรีภาพ” กลายเป็นระบบปิด
ต่อมาในเดือน กันยายน 2025 WLFI เปิดให้โทเคน WLFI ซื้อขายบนกระดานหลักอย่าง Binance และ OKX ทำให้ราคาพุ่งขึ้นกว่า 180% ภายในวันเดียว และมูลค่ารวมของสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทะลุ 5 พันล้านดอลลาร์
ตามรายงานของสำนักข่าว Financial Times ประเมินว่า ครอบครัว Trump ทำกำไรรวมจาก WLFI เกิน 1 พันล้านดอลลาร์ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ขณะที่นักวิเคราะห์จาก Bloomberg ตั้งข้อสังเกตว่า “WLFI ไม่ใช่ DeFi แต่คือ TrumpFi ระบบการเงินแบบกระจายศูนย์ที่รวมศูนย์ที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
อนาคตของ WLFI
แม้จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ จากทั้งนักวิเคราะห์ นักลงทุน และสื่อระดับโลก แต่ครอบครัวทรัมป์ก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
ตรงกันข้าม พวกเขาใช้แบรนด์ของตัวเองโอบรับทุกกระแสและแปลงมันให้เป็น “โอกาสทางการเงิน” ครั้งหนึ่งแบรนด์ Trump อาจถูกมองว่าเป็นชื่อเสียงทางการเมือง แต่วันนี้ มันกลายเป็น “สินค้า” ที่ซื้อขายในตลาดคริปโท
ล่าสุด WLFI ได้ประกาศแผนเปิดตัว บัตรเดบิต WLFI และ แอปพลิเคชันชำระเงิน ที่เชื่อมกับสเตเบิลคอยน์ USD1 ซึ่งหมายความว่าเงินดิจิทัลภายใต้แบรนด์ Trump จะไม่ใช่แค่สินทรัพย์ซื้อขาย แต่จะกลายเป็น “สกุลเงินใช้ได้จริง” โดยมีเป้าหมายชัดเจนคือการเข้าสู่ ระบบธนาคารแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ของครอบครัว
โดยสรุป WLFI คือการยกระดับจาก “โครงการคริปโท” สู่ “โครงสร้างพื้นฐานทางการเงิน” ซึ่งพลิกบทบาทของ Trump จากผู้ห่วงโซ่ขายชื่อเสียง เป็นผู้สร้างระบบที่ชื่อเสียงถูกแปลงเป็นสินทรัพย์

เมื่อประธานาธิบดีสหรัฐฯ ออกเหรียญมีม
อาณาจักรคริปโทของทรัมป์ไม่ได้มีแค่ WLFI เท่านั้น เพราะเมื่อชื่อเสียงเริ่มมากขึ้น สิ่งที่เขาทำคือการเปลี่ยนความนิยมให้กลายเป็นโทเคน
วันที่ 19 มกราคม 2025 ก่อนเข้าพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เพียงหนึ่งวันทรัมป์ได้สร้างเซอร์ไพรส์ให้ตลาดอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวเหรียญมีมของตัวเองในชื่อ Official Trump ($TRUMP) บนบล็อกเชน Solana
แรงบันดาลใจของเหรียญนี้มาจากเหตุการณ์เฉียดตายในการหาเสียง วันที่ 13 กรกฎาคม 2024 ทรัมป์ถูกลอบยิง กระสุนเฉียดใบหู เขาลุกขึ้นยืน กำหมัด และตะโกนว่า “FIGHT FIGHT FIGHT!” เหตุการณ์นั้นกลายเป็นสัญลักษณ์ทางการเมือง และในที่สุดก็ถูกนำมาแปลงเป็นโทเคน
เหรียญ TRUMP จำนวน 200 ล้านเหรียญถูกปล่อยให้ซื้อขายในวันแรกและภายในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง มูลค่าตลาดพุ่งแตะ 9 พันล้านดอลลาร์ กลายเป็นหนึ่งในเหรียญมีมที่เติบโตเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกที่ทรัมป์โพสต์นั้น หลายคนต่างฮือฮา ว่าแอคเค้าท์ X ของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนแฮ็กหรือเปล่า เพราะใครจะไปเชื่อล่ะ ว่าวันนึง ประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจจะออกเหรียญมีม ?
หลังจากนั้นไม่นาน หลายคนก็เริ่มรับรู้ได้ว่า เหรียญ TRUMP นั้น เหมือนจะเป็น “ของจริง” ทำให้หลายคนเข้าไปแห่ซื้อ และทำให้ราคาพุ่งทะยานแตะ 75 ดอลลาร์ภายในเวลาไม่ถึงสัปดาห์
แต่ในโลกคริปโท สิ่งที่เกิดขึ้นเร็ว ก็มักหายไปเร็ว และแรงศรัทธาก็มีรอบชีวิตของมันเอง หลังจากราคาพุ่งแตะระดับ 75 ดอลลาร์ในสัปดาห์แรก กระแสก็เริ่มซาลงตามธรรมชาติของตลาดมีม ราคาร่วงลงมาสู่หลักหน่วย และก็ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถขึ้นไประดับเดิมได้อีกเลย
ไม่ใช่แค่เขา แต่ภรรยาก็ออกเหรียญมีมเช่นกัน
หลังจากทรัมป์ เปิดตัวเหรียญมีมของตนเองได้ไม่นาน ภรรยาของเขา Melania Trump ก็ได้ออกเหรียญในชื่อ MELANIA เช่นกัน
วันที่ 20 มกราคม 2025 ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมขึ้นสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 เมลาเนียกลับสร้างความประหลาดใจให้ตลาดอีกครั้ง ด้วยการเปิดตัวเหรียญมีมของตนเอง
เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเปิดตัว มูลค่าตลาดของ MELANIA พุ่งแตะ 9 พันล้านดอลลาร์ มีกระเป๋ามากกว่า สามแสน wallet เข้าซื้อ
แม้เว็บไซต์ของโครงการจะระบุว่าเหรียญนี้สร้างขึ้นเพื่อ “การสะสมและความบันเทิง” เท่านั้น แต่ตลาดกลับตีความว่ามันคืออีกหนึ่งสินทรัพย์ในจักรวาล Trump ที่ออกแบบมาเพื่อเก็บมูลค่าจากชื่อเสียงอย่างชาญฉลาด
ผลกระทบเกิดขึ้นแทบจะทันที มูลค่าตลาดของเหรียญ TRUMP ร่วงหายกว่า 5 พันล้านดอลลาร์ ราวกับว่าความสนใจของนักลงทุนถูกแย่งไปโดยสมาชิกใหม่ของครอบครัวเดียวกัน
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เหรียญ MELANIA ก็สะท้อนให้เห็นว่าตระกูลทรัมป์ไม่ได้เพียงแค่ “เข้าใจตลาด” แต่ยังสามารถใช้ความนิยมส่วนบุคคลเป็นเครื่องมือทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
ปัจจุบัน MELANIA มีราคาต่ำกว่าหลักหน่วยดอลลาร์เสียอีก โดยในเวลาเพียง 9 เดือน ลดลงถึง 99% จากจุดสูงสุดที่ทำไว้เมื่อช่วงเปิดตัวที่ 13 ดอลลาร์
American Bitcoin: ขยายอาณาจักรสู่เหมืองขุด
หลังจากครอบครัวทรัมป์สร้างอาณาจักรในโลก DeFi และเหรียญมีมจนเต็มมือ แต่เขาก็ยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขาขยับเข้าสู่สมรภูมิใหม่ “เหมืองขุดบิตคอยน์”
กลางปี 2025 Eric Trump ได้ร่วมมือกับบริษัทเหมืองคริปโท Hut 8 Mining Corp. และประกาศตั้งกิจการใหม่ในชื่อ American Bitcoin Corporation (ABTC) ซึ่งตั้งเป้าว่าจะเป็น “เหมืองบิตคอยน์สัญชาติอเมริกัน” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และ“นำการผลิต Bitcoin กลับคืนสู่ผืนแผ่นดินอเมริกา”
ในเชิงภาพลักษณ์ มันคือโครงการที่สอดคล้องกับนโยบาย America First ของทรัมป์ แต่ในเชิงธุรกิจ มันคือการต่อยอดจาก “โทเคนครอบครัว” สู่ “โครงสร้างพื้นฐานของการขุด”
และด้วยการที่มีชื่อ Trump อยู่เบื้องหลัง แผนธุรกิจของ ABTC ก็ถูกมองว่า เป็นการสร้าง “ฐานรายได้ที่จับต้องได้” หลังจากเก็บเกี่ยวผลกำไรจากโลก DeFi มาแล้ว
บริษัทเริ่มต้นด้วยทุนระดมกว่า 220 ล้านดอลลาร์ และประกาศถือครอง Bitcoin กว่า 215 BTC ภายในเดือนแรกของการดำเนินงาน โดยมี Eric Trump ดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการบริหาร และ Donald Trump Jr. ทำหน้าที่ผู้ร่วมวางแผนกลยุทธ์
สิ่งที่ทำให้ตลาดสนใจไม่ใช่แค่ขนาดของเหมือง แต่คือ “แนวคิดในการวางโครงสร้างธุรกิจ” ABTC ระบุว่า Bitcoin ที่ขุดได้บางส่วนจะถูกโอนไปเป็นทุนสำรองของ WLFI Treasury ซึ่งหมายความว่า “เหมือง” และ “DeFi” ของครอบครัวนี้ กำลังเชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียว
กล่าวง่าย ๆ คือ “WLFI สร้างเหรียญ ส่วน American Bitcoin ขุดเหรียญ” เป็นวงจรปิดที่สะท้อนแนวคิดการเงินแบบ Trump อย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่การออกโทเคน ไปจนถึงการผลิตสินทรัพย์ดิจิทัลต้นทางด้วยตัวเอง
ไม่แปลกที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะมองว่า โครงการนี้ คือ “การบรรจบของสองจักรวาล” จักรวาลของคริปโทที่ถูกสร้างขึ้นจากความนิยม และจักรวาลของพลังงานที่เปลี่ยนเป็นเงิน
ในเวลาไม่กี่เดือน ABTC กลายเป็นบริษัทขุด Bitcoin อันดับต้น ๆ ของโลก ด้วยมูลค่ากิจการที่ทะลุ 1.2 พันล้านดอลลาร์ และศูนย์ขุดหลักตั้งอยู่ในเท็กซัส ที่นั่น พลังงานไฟฟ้าถูกแปลงเป็นเหรียญดิจิทัล
และเหรียญดิจิทัลก็ถูกแปลงกลับมาเป็น “พลังทางการเมือง” อีกครั้ง
จาก DeFi สู่ FamilyFi : เสรีภาพที่จบลงตรงนามสกุลเดิม
ในโลกของคริปโท เสรีภาพมักถูกยกเป็นคำนิยามสูงสุด — เสรีจากธนาคาร เสรีจากรัฐ และเสรีจากอำนาจส่วนกลาง แต่เมื่อ DeFi ภายใต้ชื่อ “World Liberty Financial” เติบโตขึ้น คำว่า “เสรีภาพ” กลับดูเหมือนจะหมุนกลับไปหาคนไม่กี่คนที่อยู่ตรงศูนย์กลางของระบบนั้นเอง
จากโทเคนที่ถูกขายในนามของการกระจายศูนย์ กลายเป็นโครงสร้างที่รวมศูนย์อยู่ในมือครอบครัวเดียว จากเหรียญที่ควรจะเปิดโอกาสให้คนทั่วไปเข้าถึง กลับกลายเป็นระบบที่กำหนดทิศทางโดยผู้ถือหุ้นในนามสกุลเดียวกัน และจากแนวคิด “การเงินแบบเสรี” ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็น “การเงินแบบครอบครัว” Family Finance มากกว่า Decentralized Finance
และเมื่อกฎหมาย Genius Act ถูกผลักดันขึ้นและผ่านอย่างรวดเร็ว มันจึงดูเหมือนเป็นมากกว่าแค่ชัยชนะของอุตสาหกรรมคริปโทฯ แต่คือชัยชนะของเหรียญที่ถูกออกโดยครอบครัวผู้ผลักดันกฎหมายเอง
บางที “อัจฉริยะ” ที่แท้จริงใน Genius Act อาจไม่ใช่เทคโนโลยี หรือเจตนารมณ์ทางนโยบายใด ๆ แต่อาจเป็นศิลปะในการเปลี่ยน “เสรีภาพของระบบการเงินใหม่” ให้กลายเป็น “อำนาจของตระกูลเดิม” ได้อย่างแนบเนียน
สุดท้ายแล้ว โลกอาจไม่ได้หมุนจาก DeFi ไปสู่อนาคตที่ไร้ศูนย์กลางอย่างที่เคยฝันแต่มันหมุนกลับไปสู่สิ่งเดิม เพียงแต่คราวนี้ ศูนย์กลางนั้นอยู่บนบล็อกเชน
อ้างอิง : cointelegraph cointelegraph cointelegraph cointelegraph cointelegraph coindesk coindesk nbcnews donaldjtrump coinmarketcap cbsnews getblock efinancethai