
สำหรับหลายคนทั่วโลก สกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี อาจดูเหมือนสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรที่มีความเสี่ยงสูง แต่สำหรับผู้คนนับล้านในประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง คริปโทได้กลายเป็นมากกว่านั้น
ในภาวะที่ค่าเงินของประเทศลดลงอย่างน่าใจหาย คริปโทฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Stablecoins ที่ผูกมูลค่าไว้กับเงินดอลลาร์สหรัฐ ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญในการรักษาเงินออมและเป็นเครื่องมือเพื่อความอยู่รอดทางการเงิน นี่ไม่ใช่เรื่องของความโลภ แต่เป็นเรื่องของความจำเป็น
ในช่วงต้นทศวรรษ 2020 เศรษฐกิจโลกเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจัยหลักมาจากการที่รัฐบาลทั่วโลกอัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ระหว่างการระบาดของโควิด-19 ประกอบกับปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนของภาคธุรกิจสูงขึ้น และวิกฤตด้านภูมิรัฐศาสตร์อย่างสงครามในยูเครน ที่ผลักดันให้ราคาพลังงานและอาหารทะยานขึ้นไปอีก
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ได้ตอบสนองอย่างแข็งกร้าวด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในภาพรวมของโลกได้สำเร็จในช่วงสองปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายประเทศที่ยังคงต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อในระดับที่รุนแรงอย่างยิ่งยวด บางแห่งพุ่งสูงถึงสามหลัก
ในสภาวะเช่นนี้ สกุลเงินดิจิทัล หรือคริปโทเคอร์เรนซี ได้ก้าวข้ามบทบาทจากการเป็นเพียงสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร ไปสู่การเป็นเครื่องมือทางการเงินที่จำเป็นสำหรับพลเมืองในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงเหล่านี้ เพื่อใช้ปกป้องความมั่งคั่งและดำเนินธุรกรรมในชีวิตประจำวัน
ลองถามตัวเองดูว่า จะทำอย่างไร หากมูลค่าเงินในบัญชีธนาคารของคุณกำลังหายไปอย่างรวดเร็วทุกวัน? นี่คือสถานการณ์จริงที่ผู้คนในหลายประเทศกำลังเผชิญ
โบลิเวียกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก อัตราเงินเฟ้อ ณ เดือนตุลาคม 2025 สูงถึง 22.23% ขณะที่ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศที่ใช้การได้ของประเทศลดลงอย่างน่าใจหาย จาก 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2014 เหลือเพียง 1.98 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในเดือนธันวาคม 2024
ผลกระทบที่เป็นรูปธรรมจากวิกฤตนี้คือการที่ประชาชนหันมาใช้คริปโทฯ อย่างแพร่หลาย ข้อมูลจาก Chainalysis ระบุว่าปริมาณธุรกรรมคริปโทฯ รายปีของโบลิเวียในช่วงเดือนมิถุนายน 2024 ถึงมิถุนายน 2025 มีมูลค่าสูงถึง 1.48 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
ภาพที่ชัดเจนที่สุดของการปรับตัวนี้คือการที่ร้านค้าต่างๆ เริ่มติดป้ายราคาสินค้าเป็นสกุลเงิน Tether (USDT) ซึ่งเป็น Stablecoin ที่ผูกมูลค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีข้อความระบุไว้ว่า
“ผลิตภัณฑ์ของเราตั้งราคาเป็น USDT (Tether) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีเสถียรภาพ โดยมีราคาอ้างอิงที่แจ้งทุกวันโดยธนาคารกลางแห่งโบลิเวีย อ้างอิงจากอัตราแลกเปลี่ยนของ Binance ”
ล่าสุด รัฐบาลโบลิเวียเองก็ได้ปรับเปลี่ยนนโยบายครั้งสำคัญ โดยนาย Jose Gabriel Espinoza รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ ได้ประกาศอนุญาตให้ธนาคารต่างๆ สามารถให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล (Crypto Custody) ได้ นอกจากนี้ สินทรัพย์ดิจิทัลยังจะถูกยอมรับให้ใช้เป็นสินทรัพย์สำหรับบัญชีเงินฝากและผลิตภัณฑ์สินเชื่อได้อีกด้วย
เวเนซุเอลากำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อรุนแรงระดับมหาศาล (Hyperinflation) โดยอัตราเงินเฟ้อในเดือนเมษายน 2025 อยู่ที่ 172% และประมาณการล่าสุดจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2025 จะสูงถึง 270% และอาจพุ่งแตะ 600% ในเดือนตุลาคม 2026
ด้วยเหตุนี้ เวเนซุเอลาจึงกลายเป็นประเทศที่มีมูลค่าการรับคริปโทเคอร์เรนซีสูงเป็นอันดับ 4 ในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยข้อมูลจาก Chainalysis ชี้ว่าชาวเวเนซุเอลาได้รับสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่าถึง 4.46 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025
Stablecoin ได้แทรกซึมเข้าไปในระบบเศรษฐกิจของประเทศอย่างสมบูรณ์ The New York Times รายงานว่าประธานาธิบดี Nicolas Maduro ได้ “ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาไปสู่ Stablecoin” โดยชาวบ้านจำนวนมากเรียกสินทรัพย์ประเภทนี้ว่า“ดอลลาร์ไบแนนซ์ (Binance dollars)”
อาร์เจนตินาต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้ออย่างหนักหน่วง โดยอัตราเงินเฟ้อเคยพุ่งสูงสุดเกือบ 300% ในเดือนเมษายน 2024 แต่ล่าสุด ณ เดือนตุลาคม 2025 ได้ลดลงมาอยู่ที่ 30% เศษ
การลดลงอย่างรวดเร็วนี้เป็นผลมาจากนโยบายรัดเข็มขัดสุดขั้วของประธานาธิบดี Javier Milei ซึ่งรวมถึงการตัดลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐและเงินอุดหนุนครั้งใหญ่ ควบคู่ไปกับการยุติการพิมพ์เงินในประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่เขาใช้เลื่อยไฟฟ้าเป็นสัญลักษณ์ในการหาเสียงเพื่อสื่อถึงการตัดลดงบประมาณอย่างจริงจัง
ข้อมูลจาก Chainalysis ระบุว่าอาร์เจนตินาเป็นประเทศที่มีมูลค่าการรับคริปโทฯ สูงเป็นอันดับสองในละตินอเมริกา ด้วยปริมาณธุรกรรมถึง 9.39 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม แม้ประธานาธิบดี Milei จะมีท่าทีที่เป็นมิตรต่อคริปโทฯ แต่ในทางปฏิบัติ รัฐบาลกลับยังไม่มีการดำเนินการเพื่อนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้อย่างเป็นทางการในระดับประเทศแต่อย่างใด
วิกฤตเงินเฟ้อของตุรกีมีรากฐานมาจากความเชื่อที่แปลกไปจากหลักการทั่วไปของประธานาธิบดี Recep Tayyip Erdoğan ที่ว่า “อัตราดอกเบี้ยสูงเป็นสาเหตุของเงินเฟ้อ” นโยบายนี้ทำให้มีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างมาก ซึ่งส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงสุดถึง 85% ในเดือนตุลาคม 2022
หลังจากการเปลี่ยนกลับมาใช้นโยบายการเงินตามแบบแผนสากล อัตราเงินเฟ้อได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 30% เศษในเดือนตุลาคม 2025 แต่ก็ยังถือว่าสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
ชาวตุรกีจำนวนมากจึงหันไปพึ่งพาคริปโทเคอร์เรนซี ทั้งเพื่อการชำระเงินและการลงทุน ตุรกีกลายเป็นผู้นำในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ โดยมีปริมาณธุรกรรมคริปโทฯ สูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025
ที่น่าสนใจคือ เมื่ออัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง พฤติกรรมของนักลงทุนได้เปลี่ยนจากการถือ Stablecoin เพื่อรักษามูลค่า ไปสู่การเก็งกำไรใน Altcoin มากขึ้น Chainalysis วิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ว่า
“ช่วงเวลาที่การเก็งกำไรใน Altcoin เพิ่มขึ้นนี้… อาจสะท้อนถึงพฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนอย่างสิ้นหวังในหมู่นักลงทุนที่ยังอยู่ในตลาด ซึ่ง… ได้ยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อแลกกับผลตอบแทนที่มหาศาล”
เศรษฐกิจของอิหร่านยังคงเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่กลับมาสูงขึ้นอีกครั้งแตะระดับ 45.3% ในเดือนกันยายน 2025, มาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศที่รุนแรง และรายจ่ายภาครัฐที่เพิ่มสูงขึ้น สถานการณ์รุนแรงถึงขั้นที่รัฐบาลกำลังวางแผนปรับเปลี่ยนหน่วยของสกุลเงินเรียล (redenomination) เนื่องจากธนบัตรในปัจจุบันมีมูลค่าต่ำเกินไปจนการทำธุรกรรมกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก
รัฐบาลอิหร่านเล็งเห็นถึงศักยภาพของคริปโทฯ ในการเป็นเครื่องมือหลบเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร และได้ประกาศให้การขุดคริปโทฯ เป็นสิ่งถูกกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2019 อย่างไรก็ตาม ภูมิทัศน์ของคริปโทฯ ในประเทศก็เต็มไปด้วยอุปสรรค ทั้งกฎระเบียบที่เข้มงวดและค่าไฟฟ้าที่สูงลิ่ว ซึ่งผลักดันให้นักขุดจำนวนมากต้องดำเนินการแบบใต้ดิน
ถึงกระนั้น ข้อมูลจาก Chainalysis ก็แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีอุปสรรคมากมาย แต่กระแสเงินคริปโทฯ ที่ไหลเข้าประเทศกำลังเติบโตขึ้น และมีแนวโน้มที่จะสูงกว่าระดับของปี 2023 และ 2024
ไนจีเรีย ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่งในการลดอัตราเงินเฟ้อจากกว่า 30% เหลือเพียง 16% ในเดือนตุลาคม 2025 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบสามปี
ความสำเร็จนี้เป็นผลมาจากการปฏิรูปของประธานาธิบดี Bola Tinubu ซึ่งรวมถึงการยกเลิกเงินอุดหนุนเชื้อเพลิงและการรวมอัตราแลกเปลี่ยนให้เป็นหนึ่งเดียว ประกอบกับสถานการณ์ด้านอุปทานอาหารที่ดีขึ้น
ไนจีเรียคือผู้นำด้านธุรกรรมคริปโทฯ ในภูมิภาคแอฟริกาใต้สะฮารา (Sub-Saharan Africa) โดยมีมูลค่าการรับสินทรัพย์ดิจิทัลสูงถึง 9.21 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2024 ถึงมิถุนายน 2025 Chainalysis ให้ความเห็นถึงปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญว่า
“ขนาดการใช้งานในไนจีเรีย ไม่เพียงเชื่อมโยงกับจำนวนประชากรและเยาวชนที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อและปัญหาการเข้าถึงสกุลเงินต่างประเทศ ซึ่งทำให้ Stablecoin กลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ”
ในภูมิภาคที่ระบบการเงินท้องถิ่นกำลังล้มเหลว คริปโทเคอร์เรนซีได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเป็นมากกว่าสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไร แต่มันคือทางเลือกที่ใช้การได้จริงและน่าดึงดูดใจสำหรับการรักษามูลค่าของความมั่งคั่งและอำนวยความสะดวกทางการค้าในชีวิตประจำวัน
มองไปในอนาคต สินทรัพย์ดิจิทัลกำลังทวีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะองค์ประกอบพื้นฐานของความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial Resilience) สำหรับผู้คนธรรมดาทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และเป็นแนวโน้มที่เริ่มเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น
ที่มา : cointelegraph
แปลและเรียบเรียง : ชัชชญา อังคุลี
เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียกับเราที่นี่>> efinanceThai-CONNECT