
เหล่า VC ชี้ไปที่ปัจจัยหลัก 3 ประการที่อยู่เบื้องหลัง “การปรับฐาน” ของตลาดครั้งนี้ ทั้งจาก 1.เหตุการณ์ล้างพอร์ตครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2.ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ไม่เอื้ออำนวย และ 3.การขาดแคลนเงินทุนใหม่ที่ไหลเข้ามาในตลาด
เหตุการณ์บังคับขายครั้งใหญ่ในวันที่ 10 ตุลาคม ได้สร้างความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาด “Boris Revsin” หุ้นส่วนของ Tribe Capital เรียกเหตุการณ์นี้ว่าเป็นการ “ล้างบางด้วยเลเวอเรจ” ซึ่งส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทั่วทั้งระบบนิเวศของคริปโทฯ
Rob Hadick หุ้นส่วนของ Dragonfly อธิบายว่าเหตุการณ์นี้มีต้นตอมาจาก “สภาพคล่องต่ำ การบริหารความเสี่ยงที่ไม่ดี และการออกแบบ Oracle หรือระบบเลเวอเรจที่อ่อนแอ”
นอกจากนี้ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในภาพรวมไม่ได้เป็นบวกต่อตลาดคริปโทฯ ทั้งความหวังที่ Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยในเร็ววันนี้ได้จางหายไป , ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจเริ่มบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังชะลอตัว และความขัดแย้งและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกได้เพิ่มสูงขึ้น
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการขาดแคลนเงินทุนใหม่ที่ไหลเข้ามาในตลาดคริปโทฯ Dan Matuszewski ผู้ร่วมก่อตั้ง CMS Holdings ตั้งข้อสังเกตว่าตลาดมี “เงินทุนไหลเข้าใหม่น้อยมาก” นอกจากนี้ แรงสนับสนุนจากกระแสเงินทุนที่เคยไหลเข้าผ่านกองทุน ETF ก็ลดน้อยลงเช่นกัน ทำให้ราคาปรับตัวลงได้เร็วยิ่งขึ้น
สัญญาณสำคัญที่บ่งชี้การฟื้นตัวของตลาดคริปโทฯ
ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญที่สุดคือ “ความชัดเจนทางเศรษฐกิจ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed เพราะ Bitcoin ยังคงได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจในภาพใหญ่ เช่น นโยบายการเงินและอัตราเงินเฟ้อ ไม่ใช่แค่ปัจจัยภายในวงการคริป โทฯ เพียงอย่างเดียว
การที่หน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการชั่วคราวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เกิดภาวะ “ขาดแคลนข้อมูล” ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและส่งผลให้การซื้อขายมีความผันผวนมากขึ้น Anirudh Pai จาก Robot Ventures ชี้ว่า รายงานตัวเลขการจ้างงานครั้งต่อไปจะมีความสำคัญมากกว่าปกติ เนื่องจากนักลงทุนไม่ชอบความไม่แน่นอน
ทิศทางของตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโทฯ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ยังไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก หากภาคส่วน AI เติบโตได้ดี ก็จะช่วยสนับสนุนความเชื่อมั่นในตลาดคริปโทฯ แต่หาก AI อ่อนแอลง การปรับตัวลงก็มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบมาถึงสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย
Boris Revsin อธิบายว่าผลกระทบดังกล่าวจะเกิดขึ้นผ่าน “ผลกระทบทางอ้อม เช่น ภาวะเศรษฐกิจมหภาคที่อ่อนแอลงในตลาดหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี (ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน) และการที่หน่วยงานกำกับดูแลในตลาดจีน/ฮ่องกงเข้ามาควบคุมเข้มงวดมากขึ้น”
นอกจากนี้ ยังมีมุมมองที่เตือนให้ระวังความเสี่ยงที่กว้างกว่านั้น Lex Sokolin ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการของ Generative Ventures ได้เตือนว่าความอ่อนแอที่รุนแรงในโครงสร้างพื้นฐานของ AI อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
“หากตลาด AI เริ่มพังทลายลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ Oracle bonds และการสร้างศูนย์ข้อมูล สิ่งนั้นอาจสร้างความสั่นสะเทือนให้กับตลาดหุ้น และหลังจากนั้นก็จะส่งผลต่อสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ” Sokolin กล่าว
VCs ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าตลาดเริ่ม “ทรงตัว” มากขึ้นแต่ยังไม่ถึงจุดต่ำสุดจริง ๆ บิตคอยน์ดีดกลับจากโซน $80,000 และเงินทุนไหลข้า ETF ก็เริ่มเห็นสัญญาณดีขึ้นเล็กน้อย ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นสัญญาณว่าแรงขายบังคับน่าจะออกจากตลาดไปเกือบหมดแล้ว
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยังผันผวน เพราะตลาดยังแกว่งตามตัวเลขใหม่ ๆ ทั้งดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และกำไรของกลุ่ม AI ซึ่ง “Revsin” มองว่าช่วงนี้เป็นเหมือน “ระยะเริ่มตั้งฐาน” มากกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของรอบฟื้นตัวจริง ๆ
บรรดา VCs มองตรงกันว่าโซนราคา $100,000–$110,000 เป็นระดับสำคัญที่อาจพลิกบรรยากาศตลาด หากบิตคอยน์ยืนเหนือช่วงนี้ได้ จะสะท้อนว่าตลาดเริ่มหลุดพ้นจากความกังวลเรื่อง “ขึ้นมาถึงยอดใหญ่แล้วหรือยัง” และเปลี่ยนเป็นมุมมองว่าเป็น “การพักฐานอย่างแข็งแรงก่อนขึ้นรอบใหม่” ตามที่ Revsin อธิบาย
แต่หากยังไม่ผ่านระดับนี้ ความกลัวจะยังครอบงำตลาดต่อไป และราคาอาจแกว่งแรงตามความผันผวนหรือข่าวไม่คาดคิดได้ง่าย
VCs ระบุว่า สัญญาณชัดที่สุดของการกลับตัวแบบยืนระยะ คือการเห็น “ความนิ่ง” ทั้งในกระแสเงินไหลเข้าและการจัดพอร์ตของนักลงทุน
หลายคนชี้ว่า หากมีเงินไหลเข้า ETF แบบสปอตของ BTC และ ETH ต่อเนื่องกันหลายสัปดาห์ ควบคู่กับข้อมูลอนุพันธ์ที่แสดงให้เห็นว่า open interest เริ่มฟื้นตัวโดยไม่พึ่งเลเวอเรจเกินตัว นั่นจะเป็นสัญญาณบวกสำคัญ
Hadick เสริมว่า การที่ราคาขยับอยู่ในกรอบแคบลงเรื่อย ๆ พร้อมความผันผวนต่ำ คือสัญญาณที่ชัดเจนที่สุดว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะ “ตั้งฐาน” อย่างแท้จริง
Boris Revsin ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า การเทขายที่ผ่านมาทำให้ “Altcoin ที่สร้างรายได้” บางตัว (เช่น Grass, Re และอื่นๆ) มีราคาถูกลงอย่างมาก โดยมูลค่าได้กลับไปสู่ระดับเดียวกับปี 2024 แม้ว่าปัจจัยพื้นฐาน เช่น กิจกรรมบนเชนและจำนวนผู้ใช้งานจะดีขึ้นก็ตาม
นอกจากนี้ การที่ Bitcoin dominance ไม่ได้พุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงตลาดขาลง ยังแสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังคงมีความต้องการ “Altcoin คุณภาพดี” อยู่ในตลาด
ที่มา : theblock
เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียกับเราที่นี่ >> efinanceThai-CONNECT