
ร้อนแรงจริงๆ สำหรับโครงการคนละครึ่งพลัส หลังจากที่เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนรับสิทธิ์วันแรกเมื่อ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา เพียงแค่ 10 ชั่วโมง ประชาชนแห่ลงทะเบียนหมด 20 ล้านสิทธิ์ ทั้งกลุ่มผู้เสียภาษี ที่ได้รับ 2,400 บาทต่อคน และประชาชนทั่วไป ได้รับ 2,000 บาท แม้ในวันต่อมาจะมีสิทธิ์เหลือมาให้ลงในรอบที่ 2 อีกประมาณ 5 แสนสิทธิ์ ก็ลงทะเบียนหมดใน 1 ชั่วโมง
เรียกว่าจะเปิดอีกกี่รอบ ประชาชนก็แห่แหนมารับสิทธิ์ จนรัฐบาลเปรยว่า อาจจะเปิดรอบใหม่ในเดือนมกราคมปีหน้า และเชื่อว่าเปิดอีกก็หมดอีกภายในเวลาอันรวดเร็ว
ต้องบอกว่า "ของเขาดีจริง" ถือว่าเป็นผลงานจากรัฐบาลลุงตู่ ที่รัฐบาลอนุทินนำมาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน สำหรับช่วง 4 เดือนที่เข้ามาบริหารประเทศ ก่อนยุบสภาปลายเดือนมกราคม 2569 เพราะเป็นการต่อท่อตรงให้กับประชาชน สนับสนุนกำลังซื้อทั่วประเทศ ให้กลับมาคึกคักในช่วงโค้งสุดท้ายของปี ทั้งภาคอาหารและบริการ และแน่นอนกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการรายย่อย และชุมชนทั่วประเทศ
ขณะที่มาตรการล่าสุด ที่ ครม. เพิ่งอนุมัติไป คือการกระตุ้นท่องเที่ยว เมืองหลัก-เมืองรอง ด้วยการหักลดหย่อนสูงสุด 3 หมื่นบาท ที่จะเริ่ม 29 ต.ค. นี้เช่นเดียวกับ คนละครึ่งพลัส
แม้โครงการที่รัฐบาลประกาศออกมาจะเป็นเรื่องเดิมๆ และช่วงปลายปีคาดว่าน่าจะมีโครงการช้อปดีมีคืนออกมากระตุ้นอีกรอบ เพื่อให้เศรษฐกิจหรือจีดีพีปีนี้ขยายตัวได้มากกว่า 2% แต่ระยะยาวสำหรับรัฐบาลชุดต่อไป คงจะมาหวังพึ่งพิงแต่มาตรการระยะสั้นแบบนี้ไม่ได้ รัฐบาลจำเป็นต้องวางรากฐานเศรษฐกิจ และเดินหน้าต่อยอดโครงการในระยะต่อไป ด้วยการ “สร้างรายได้-สร้างงาน” เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ในช่วง 10 ปีมานี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทุกรัฐบาลมุ่งหวังแต่การอัดฉีดระยะสั้น ไม่ได้สร้างแนวทางจะกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรให้ยั่งยืน ไม่ได้พัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยการปรับปรุง ส่งเสริม ภาคการผลิต อุตสาหกรรม การลงทุนให้รองรับการฟื้นตัวของประเทศ ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ชัดแล้วว่าทำไม หลังวิกฤตโควิดประเทศอื่นๆ เติบโตได้เร็ว แต่เราเติบโตรั้งท้ายในภูมิภาค
คนละครึ่ง แม้จะเป็นโครงการขวัญใจประชาชนเพียงใด แต่ก็ได้ผลเพียงแค่ช่วงสั้น แต่ระยะยาวจริงๆ ประเทศจะมีต้องหามาตรการระยะยาว ที่ทำให้เศรษฐกิจโตได้มากกว่าแค่ 2-3% ซึ่งเป็นการบ้านที่รัฐบาลชุดนี้ และชุดต่อไปจะต้องทำ