
ในโลกที่กำลังเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งสิ่งแวดล้อม พลังงาน และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ คำว่า “ความยั่งยืน” จึงไม่ใช่คำหรูอีกต่อไป แต่กลายเป็น เงื่อนไขการอยู่รอดร่วมกันของมนุษยชาติ และสำหรับภูมิภาคที่มีประชากรกว่า 680 ล้านคนจาก 10 ประเทศ อย่าง “อาเซียน” กับการจะก้าวสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง ย่อมต้องเริ่มจาก “การเติบโตไปด้วยกัน”
ภายใต้ธีม “การมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึงและความยั่งยืน” (Inclusivity and Sustainability)” การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 47 (ASEAN Summit 2025) จัดขึ้นระหว่างวันที่ 26–28 ตุลาคม 2025 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คือ การประกาศเจตจำนงของผู้นำทั้งสิบประเทศ ที่ต้องการวางหมุดหมายใหม่ให้ภูมิภาค เดินหน้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเป็นรูปธรรม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
อาเซียน คือ ภูมิภาคที่เต็มไปด้วยความแตกต่าง ทั้งระดับการพัฒนา เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ ตั้งแต่ สิงคโปร์ที่เป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีชั้นนำ ไปจนถึงเมียนมาร์หรือกัมพูชาที่ยังต้องต่อสู้กับความเหลื่อมล้ำขั้นพื้นฐาน
ความแตกต่างเหล่านี้กลายเป็น “ความซับซ้อนเชิงโครงสร้าง” ที่ทำให้การก้าวไปด้วยกันไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะในประเด็นพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นหัวใจของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDG 7)
แม้ประเทศอย่างไทย อินโดนีเซีย และเวียดนาม จะมีศักยภาพสูงด้านพลังงานหมุนเวียน แต่ในทางปฏิบัติ ภูมิภาคนี้ยังพึ่งพา พลังงานฟอสซิลเป็นหลัก
รายงานจาก IRENA (International Renewable Energy Agency) ระบุว่า พลังงานหมุนเวียนในอาเซียนมีสัดส่วนเฉลี่ยเพียง 15–20% ของการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ต่ำกว่ามาตรฐานที่โลกคาดหวังไว้ในเส้นทางสู่ “Net Zero”
กว่าสองทศวรรษที่ผ่านมา แนวคิด ASEAN Power Grid (APG) ถูกเสนอขึ้นในฐานะ “ความหวังแห่งการเชื่อมโยงพลังงานสะอาดระดับภูมิภาค”
โครงการนี้มีเป้าหมายสร้างระบบสายส่งไฟฟ้าข้ามพรมแดน เพื่อแลกเปลี่ยนพลังงานหมุนเวียนระหว่างประเทศสมาชิก เช่น การส่งไฟฟ้าจากเขื่อนในลาวไปยังไทย หรือจากพลังงานแสงอาทิตย์ในมาเลเซียไปยังสิงคโปร์
แต่ในทางปฏิบัติ โครงการ APG ยังเดินหน้าอย่างจำกัด เพราะติดอุปสรรคด้านเทคนิค เงินลงทุน และความมั่นคงทางพลังงานภายในประเทศ ซึ่งแต่ละชาติยังมองว่าเป็นเรื่อง “อธิปไตยทางพลังงาน” ที่ไม่อาจเปิดกว้างได้เต็มที่
ทำให้โครงข่ายไฟฟ้าระดับภูมิภาคที่โลกจับตามอง ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริงเสียที
รายงานของ United Nations (UNSD) เผยว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีเพียง 17% ของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) เท่านั้น ที่ “เดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง”
และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
การศึกษาของ ERIA (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia) ชี้ว่า อาเซียนยังเผชิญ “ช่องว่างเชิงนโยบาย (Policy Gaps)” ระหว่างประเทศสมาชิก โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด แม้นโยบายบนกระดาษดูสอดคล้อง แต่การนำไปสู่ผลลัพธ์จริงกลับยังขาดความต่อเนื่อง
หรือพูดอีกแบบ อาเซียนมีแผนที่ดี แต่ยังขาดพลังในการเดินให้ถึงเป้าหมายเดียวกัน
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านั้น การประชุมอาเซียนซัมมิทปี 2025 ได้รับการจับตามองในฐานะ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” ที่จะทำให้อาเซียนกลับมามีทิศทางร่วมอีกครั้ง ภายใต้ธีม “Inclusivity and Sustainability”
ภายในที่ประชุม ผู้นำทั้ง 10 ชาติได้ร่วมกันรับรองกรอบความร่วมมือชุดใหม่ที่ถือเป็น “หมุดหมายแห่งทศวรรษ” ได้แก่:
ยกระดับความร่วมมือด้านการค้าให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจสีเขียวและดิจิทัลของโลกยุคใหม่
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในฐานะ “ผู้ประสานงานหลักด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนของอาเซียน”
โดยผลักดันแนวคิด เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ควบคู่กับ เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition)
ผู้นำไทยได้เน้นย้ำในที่ประชุมว่า
“ความยั่งยืนไม่ใช่ทางเลือก แต่คือหนทางเดียวที่ทำให้อาเซียนอยู่รอดไปด้วยกัน”
บทบาทของไทยจึงไม่ใช่เพียงผู้ร่วมโต๊ะเจรจา แต่คือ ตัวเชื่อมสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ภูมิภาคสีเขียวที่แท้จริง
การประชุมสุดยอดอาเซียนปี 2025 จึงไม่ใช่เพียงเวทีหารือนโยบาย แต่คือ “การสะท้อนใจ” ของทั้งภูมิภาค ว่าความยั่งยืนจะไม่มีวันเกิดขึ้นได้ หากแต่ละประเทศยังเดินคนละทาง
อาเซียนไม่ได้หมายถึงแค่เส้นเขตแดนบนแผนที่
แต่มันคือ ความสัมพันธ์ของผู้คนกว่า 680 ล้านชีวิต ที่ต้องพึ่งพากันและเติบโตไปด้วยกัน
“Inclusivity and Sustainability” จึงไม่ใช่แค่ธีมของการประชุม แต่คือ คำมั่นแห่งศตวรรษใหม่ของอาเซียน ที่จะร่วมกันเขียนเรื่องราวของภูมิภาคนี้ให้ยั่งยืน เพื่อคนรุ่นนี้ และคนรุ่นต่อไป
การประชุมอาเซียนซัมมิท 2025 คือการยืนยันว่า “ความร่วมมือ” คือพลังสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคต และ “ความยั่งยืน” คือภารกิจร่วมของทั้ง 10 ประเทศ ไม่ใช่การแข่งขัน เมื่ออาเซียนเริ่มเข้าใจว่า การเติบโตที่แท้จริง คือการเติบโตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ภูมิภาคนี้ก็อาจกลายเป็นตัวอย่างของโลก ที่เปลี่ยนคำว่า “รวมกลุ่มเศรษฐกิจ” ให้กลายเป็น “พันธมิตรแห่งอนาคตมนุษย์” ได้อย่างแท้จริง
ASEAN Summit 2025, Inclusivity and Sustainability, ASEAN green economy, ASEAN clean energy, การประชุมสุดยอดอาเซียน 2025, ความยั่งยืนอาเซียน, เศรษฐกิจสีเขียว, พลังงานสะอาด,