
รายงานจากกระทรวงพลังงาน จัดให้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นอุตสาหกรรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นอันดับสองรองจากภาคการเกษตร โดยมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 39% เป็นความท้าทาย ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนกติกา เงินจะไหลไปหาคนที่เข้า “มาตรฐานสีเขียว” นวัตกรรมในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่ช่วยหากวิธีลดก๊าซเรือนกระจก คือกุญแจสำคัญที่พาผู้ประกอบการ ข้ามด่าน กิจการที่ถูกจัดหมวดหมู่ในธุรกิจสีเขียว (Taxonomy) ได้ไปคว้าเงินทุนสีเขียวได้จริง
ทั้งนี้ เพราะโลกการเงินใหม่ สถาบันการเงินและธนาคาร เน้นสนับสนุนการพัฒนาโครงการที่ช่วยลดโลกร้อน เพราะวงการก่อสร้างไม่ใช่แค่ “สร้างตึก” ที่ผู้รับเหมาแข่งกันที่ราคาถูก ใครลดต้นทุนวัสดุได้มากสุดคือผู้ชนะ เพราะเราไม่สามารถเลิกสร้างบ้านสร้างตึกได้ แต่ต้องคิดวิธีการ “สร้างอย่างฉลาด”
วันนี้เกมกติกาเปลี่ยนไป ผู้ชนะคือตึกที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ วัดผลได้ ตรวจสอบได้ และเข้ากับ Taxonomy ได้ การคิดค้นนวัตกรรมก่อสร้างเพื่อลดคาร์บอน จึงเป็น “บัตรผ่านด่าน” เข้าสู่โลกการเงินใหม่ หากมีการก่อสร้าง ที่ใช้วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ ( Low Carbon / Green Material), ลดของเสีย (Prefabrication, Modular Construction) นำระบบBIM, AI มาช่วยวัดคาร์บอนก่อนลงมือก่อสร้าง และมีระบบพลังงานประสิทธิภาพสูง & อาคารปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ( Net Zero)
คุณประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด เปิดเผยถึง แนวทางขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ สู่การเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศสู่การเป็น Net Zero ในปี 2593 ว่า การเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์สู่การเป็นอสังหาริมทรัพย์สีเขียว โดยการออกแบบวัสดุให้สามารถปรับใช้ได้หลากหลาย พร้อมกันกับลดการปล่อยคารบอน (CO₂) ตอบโจทย์ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดคาร์บอน เริ่มต้นจาก หัวใจหลักการก่อสร้าง คือ ซีเมนต์ วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนทาน แต่ปล่อยคาร์บอนสูงจากกระบวนการผลิตสูงถึง 7-8% ของการปล่อยคาร์บอน(CO2)จากทั่วโลก ส่วนไทยมีการปล่อยก๊าซจากอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ถึง 21.15 ล้านตัน จากการปลอ่ยก๊าซคาร์บอนทั่วประเทศ 247.7 ล้านตัน ในปี 2022
โดยจากการพัฒนางานวิจัยเพื่อรองรับการใช้งานจริงในอุตสาหกรรมก่อสร้างทั่วโลก ได้มีการพัฒนานวัตกรรมคอนกรีตในรูปแบบใหม่ แปลงเป็นคอนกรีตยุคสีเขียว ก้อนสีเทาที่เคยปล่อยมลพิษทำลายโลก ถูกแปรสภาพให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดโลกร้อน พร้อมรองรับการใช้งานหลากหลาย โดยที่ยังคงคุณสมบัติที่แข็งแรง ใน 3 ด้าน คือ
วิธีการคือ เอาวัสดุเหลือทิ้งพวกนี้มาแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ที่ปล่อย CO₂ เยอะ แล้วใช้สารด่างกระตุ้นให้มันเกาะตัวกันได้ ผลลัพธ์? คอนกรีตที่แข็งแรงเหมือนเดิม (กำลังอัด 20-100 Mpa เลยทีเดียว) แต่ลดคาร์บอนลงไปได้ถึง 50-80%!
ในไทยเรามีโครงการนำร่องแล้วด้วยนะ กลุ่มปูนซีเมนต์ไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพันธมิตรจากญี่ปุ่น พัฒนาสูตรต้นแบบที่ลด CO₂ ได้มากกว่า 50% แล้ว
เมื่อ CO₂ เจอกับแคลเซียมในเนื้อคอนกรีต มันจะเกิดปฏิกิริยากลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต คาร์บอนก็เลยถูก “ขังไว้ตลอดกาล” ในเนื้อคอนกรีต ไม่ได้หนีไปไหนอีก! โบนัสเพิ่มคือทำให้คอนกรีตแข็งแรงขึ้นอีก 10-15% ด้วย
บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง และ Inno Precast เริ่มใช้นำร่องไปแล้ว สามารถ ลด CO₂ ได้ถึง 4,000 ตันต่อปี! เริ่มจากแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Wall) แล้วขยายไปยังผลิตภัณฑ์อื่นๆ ตามมา
ในไทยยังไม่มีใช้งานจริงในโครงการใหญ่ แต่มหาวิทยาลัยอย่างจุฬาฯ และ มจธ. กำลังทดลองอยู่ สำหรับเมืองใหญ่ที่มีปัญหาฝุ่นควันเหมือนเรา นี่อาจเป็นทางออกที่ดีมากๆ
การใช้คอนกรีตเหล่านี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นแค่ “คนดีกับโลก” เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) ได้ง่ายขึ้น และยังสอดคล้องกับ Thailand Taxonomy ซึ่งเป็นมาตรฐานความยั่งยืนที่กำลังร้อนแรงในวงการลงทุน
คอนกรีตไม่ใช่ตัวร้ายทำลายโลกอีกต่อไป แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของโซลูชันที่จะช่วยโลกของเรา ครั้งหน้าที่เห็นตึกใหม่หรือถนนใหม่ หากเลือกใช้วัสดุที่มีนวัตกรรม สามารถช่วยลดโลกร้อนได้
ผลงานวิจัยมีการทดลองใช้คอนกรีตผสม TiO₂ ในงานพื้นถนนและทางเท้าของหน่วยงานวิศวกรรมหลายแห่ง เช่น มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี , จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อศึกษาความสามารถลดมลพิษ PM และ NOx ซึ่งเหมาะกับบริบทเมืองใหญ่ในไทยที่มีปัญหาฝุ่นควัน
“นวัตกรรมคอนกรีตยุคใหม่ ไม่เพียงแต่ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในงานก่อสร้าง แต่ยังสอดคล้องกับหลักการ Thailand Taxonomy ที่มุ่งให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจไปสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม และเข้าใกล้ความเป็น Net Zero ให้มากที่สุด การพัฒนาและใช้งานคอนกรีตคาร์บอนต่ำจึงไม่ใช่แค่การปรับตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง แต่ยังช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึง แหล่งเงินทุนสีเขียว (Green Finance) และโอกาสการลงทุนที่ยั่งยืนได้ง่ายขึ้น เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตที่ตอบโจทย์ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของสังคมไทย” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติม
ประโยชน์ของนวัตกรรมการเงินสีเขียว ประกอบด้วย
1. เข้าถึงเงินลงทุนต้นทุนต่ำกว่า แบงก์และกองทุนสมัยนี้ไม่ได้ดูแค่กระแสเงินสด
เขาดูว่าโครงการคุณ “เข้า Green Taxonomy” ที่มีดอกเบี้ยถูกกว่า
2. ได้เปรียบคู่แข่งในงานประมูลใหญ่ โครงการรัฐและองค์กรใหญ่ เริ่ม “ตั้งเงื่อนไขความยั่งยืน” เป็นบังคับ นวัตกรรมที่ผ่าน Taxonomy
3. เปิดประตูสู่ตลาดใหม่เชื่อมตัวเองกับโลกสากล หลุดจากแหล่งเงินกู้ระบบเดิมที่ตลาดค่อยเล็กลงเช่น
4. ลดความเสี่ยงระยะยาว ในอนาคต ภาษีคาร์บอน กฎสิ่งแวดล้อม และมาตรฐาน ESG จะยิ่งเข้มขึ้น นวัตกรรม คือหลัก“ประกันอนาคต” ให้ธุรกิจตัวเอง ก่อนกติกาจะบีบจนมีต้นทุนเพิ่มขึ้น
5. สร้างแบรนด์ให้ยืนยาวกว่าแค่โครงการเดียว ผู้ประกอบการที่เข้าใจเรื่องนี้ก่อน
จะถูกมองว่าไม่ใช่แค่ “ผู้สร้างตึก” แต่คือ “ผู้สร้างเมืองแห่งอนาคต” และภาพลักษณ์แบบนี้ มันดึงดูดทั้งลูกค้า นักลงทุน และพันธมิตร
ในโลกธุรกิจก่อสร้างในนามแข่งขัน ตัวชี้วัดเลือกในตลาดไม่อยู่ที่ ราคาถูกกว่าอีกต่อไป แต่คนก่อสร้างที่ ล้อไปกับ “ทิศทางโลก” การออกแบบนวักรรมก่อสร้าง การทดลองในห้องแล็ป จึงเป็นเข็มทิศของธุรกิจ ก้าวไปสู่โลกในอนาคต ผ่านการค้นพบวัสดุคาร์บอนต่ำ ระบบประหยัดพลังงาน ไปจนถึงเทคโนโลยีวัดการปล่อยคาร์บอน เพื่อให้สอดคล้องกับ กรอบของ Taxonomy มาตรฐานที่โลกเป็นตัวชี้วัดความเขียวของธุรกิจ เพียงแค่มีการพัฒนานวัตรรมก่อสร้างสีเขียว จะช่วยเปิดประตูอีกบาน เข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวได้อีกหลากหลาย ที่สอดคล้องกับ ESG มีผลลัพธ์มันเป็นรูปธรรม ได้รับความน่าเชื่อถือในสายตานักลงทุนสูงขึ้น และสุดท้าย มูลค่าธุรกิจก็ไม่ได้โตแค่ในงบกำไรขาดทุน แต่การทำดีเพื่อโลก จะได้รับ“ความไว้วางใจระยะยาว” ในตลาดทางรอดของผู้ประกอบการยุคใหม่