
เจาะโอกาส“คนละครึ่ง” มาตรการเยียวยาชั่วคราว ต่อยอด สู่โอกาสสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจไทยในระยะยาว เมื่อพลังแห่งการจับจ่ายกว่า 6 แสนล้านบาท ผ่านเป๋าตังอาจกลายเป็นเข็มทิศใหม่ของนโยบายเศรษฐกิจฐานรากเติบโตยั่งยืนได้ โดยการเชื่อมต่อคน-เศรษฐกิจ-เทคโนโลยี สร้างคุณค่าร่วมเศรษฐกิจมีส่วนร่วม
โครงการ “คนละครึ่ง” เริ่มต้นปี 2563 ภายใต้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อต่อลมหายใจเศรษฐกิจหลังโควิด-19
แนวคิด “รัฐช่วยครึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่ง” ผ่านแอป เป๋าตัง กลายเป็นโมเดลกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้าถึงได้จริงทั่วประเทศ
จนถึง เฟส 6 พลัส ปี 2568 รัฐบาลใช้งบประมาณรวมกว่า 400,000 ล้านบาท ก่อให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 600,000 ล้านบาท มีผู้ใช้สิทธิเฉลี่ย 27–32 ล้านคน และร้านค้ากว่า 1.3 ล้านราย
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือ “จังหวะหัวใจของเศรษฐกิจท้องถิ่น” ที่กลับมาเต้นอีกครั้ง
แม้แต่ละเฟสของคนละครึ่งจะเน้นพยุงเศรษฐกิจระยะสั้น แต่ผลลัพธ์สะท้อนชัดว่าเงินหมุนเวียนช่วยร้านอาหาร ตลาด และโชห่วยให้กลับมามีรายได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์มองว่า โครงการนี้ยังเป็นเพียง “ยาแก้ปวดชั่วคราว” หากไม่เชื่อมโยงกับนโยบายโครงสร้างระยะยาว เช่น การสร้างอาชีพ เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และการเข้าถึงดิจิทัลไฟแนนซ์ของชุมชน
นโยบายที่ช่วยให้เงินไหลเวียนในชุมชน แทนที่จะกระจุกอยู่ในธุรกิจใหญ่
“คนละครึ่ง” สะท้อน Partnership Mindset — แนวคิดที่รัฐและประชาชนร่วมรับผิดชอบ
แทนที่จะใช้เงินอัดฉีดระยะสั้น “คนละครึ่ง” สอดแทรกแนวคิดการใช้จ่ายอย่างมีส่วนร่วม
เปลี่ยนจาก “เงินอุดหนุน” เป็น “เงินลงทุนทางสังคม” (Social Investment)
เป็นกรณีศึกษาของ “นโยบายการคลังอย่างยั่งยืน” (Sustainable Fiscal Policy)
ช่วยสร้างสมดุลระหว่าง “ประสิทธิภาพ” (Efficiency) – “ความเท่าเทียม” (Equity) – และ “การเสริมพลังให้ประชาชน” (Empowerment)
โครงการนี้ไม่เพียงกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ยังสร้าง “ความไว้วางใจ” ระหว่างรัฐกับประชาชน
ขยายผลสู่ “เศรษฐกิจแบ่งปัน” (Sharing Economy)
และเสริมสร้าง “ทุนทางสังคม” (Social Capital) ซึ่งเป็นรากฐานของ “ความยั่งยืนระยะยาว” (Long-term Sustainability)
แม้“คนละครึ่ง” ไม่ใช่เพียงโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่คือ ต้นแบบของนโยบายเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม
ที่เชื่อมโยงคน – รัฐ – เทคโนโลยี – สิ่งแวดล้อม เข้าด้วยกันอย่างสมดุล
มันคือ “เศรษฐกิจครึ่งทาง” ที่กำลังพาไทยก้าวสู่ “ความยั่งยืนเต็มขั้น” —
เศรษฐกิจที่เติบโตจากข้างล่างขึ้นบน จากหัวใจของผู้คน มากกว่าตัวเลขบนกระดาษ.
โครงการที่เคยเป็นเพียงเครื่องมือชั่วคราว วันนี้กำลังถูกทดสอบว่าจะกลายเป็น “นโยบายสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจ” ได้จริงหรือไม่ ในยุคที่ทุกชนชั้นต้องฝ่าความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกไปพร้อมกัน จาก “รัฐช่วยครึ่ง ประชาชนจ่ายครึ่ง” สู่ “เศรษฐกิจมีส่วนร่วม”
อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติมีนักเศรษฐศาสตร์หลายคน ยังมอง่า เป็นมาตาการที่หวังผลได้ในระยะสั้น แต่ยังขาดการต่อยอดในระยะยาว
ทำให้เกิดความท้าทายใหม่คือการ ต่อยอดให้ยั่งยืน ด้วยการวางรากฐานเศรษฐกิจที่เชื่อมกับโครงสร้างระยะยาว เช่น การสร้างอาชีพและเพิ่มผลิตภาพแรงงาน, การเข้าถึงแหล่งเงินทุนและดิจิทัลไฟแนนซ์ของชุมชน, การใช้ข้อมูลจาก “เป๋าตัง” สู่การออกแบบนโยบายเชิงรุกในอนาคต
จึงเกิดข้อเสนอแนะวิธีการทำให้”คนละครึ่ง”ก้าวสู่ความยั่งยืน
สร้าง Local Business Database ต่อยอดสู่สินเชื่อรายย่อย ประกันสังคมชุมชน และการฝึกทักษะดิจิทัล ให้พ่อค้าแม่ค้าปรับตัวในโลกใหม่
พัฒนาแอป เป๋าตัง ให้เป็น Community Wallet ที่ประชาชนกู้เงินขนาดเล็กหรือลงทุนในโครงการสีเขียวได้ เปลี่ยนบทบาทรัฐจาก ผู้แจก สู่ ผู้ร่วมลงทุนในศักยภาพคน
ใช้ฐานข้อมูลกว่า 30 ล้าน บัญชี เพื่อวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ ออกแบบนโยบายเฉพาะพื้นที่ ฝึกทักษะ และวางโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมต่อผู้ประกอบการรายย่อย
ผนวกระบบ Green Tag ให้รางวัลแก่สินค้าคาร์บอนต่ำ กระตุ้นการบริโภคอย่างรับผิดชอบ ตอบครบทั้ง เศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม
ต่อยอดแนวคิดคนละครึ่ง สู่ “จังหวัดละครึ่ง” ให้ภาครัฐ เอกชน และประชาชนร่วมลงทุนสร้างตลาดสีเขียว พลังงานชุมชน และโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็ก
เปิดข้อมูลธุรกรรมและผลลัพธ์เชิงสังคมแบบ Real-time ลดทุจริต เพิ่มความน่าเชื่อถือ ฝังหลัก Good Governance ในระดับฐานราก
“คนละครึ่ง” จะกลายเป็นนโยบายยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อ รัฐเลิกมองว่าเป็นเพียงเครื่องมือเยียวยา และเริ่มเห็นว่าเป็น แพลตฟอร์มพัฒนาศักยภาพของคน
เมื่อพ่อค้าแม่ค้ารายเล็กมีทักษะดิจิทัล ประชาชนเข้าถึงสินเชื่อได้ และรัฐมีข้อมูลแม่นยำ ประเทศไทยจะมีระบบเศรษฐกิจที่ยืนบนขาของตนเอง
เพราะสุดท้าย ความยั่งยืนไม่ได้เกิดจากเงินที่รัฐให้
แต่เกิดจากความสามารถของประชาชนที่จะยืนได้ด้วยตนเอง
และเมื่อวันนั้นมาถึง “คนละครึ่ง” จะไม่ใช่เพียงชื่อของโครงการอีกต่อไป
แต่มันจะเป็น ใบเบิกทางใหม่ของเศรษฐกิจไทย สู่อนาคตที่ยั่งยืน.