
ในทุกปี การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) COP (Conference of the Parties) ระหว่างวันที่ 10 ถึง 21 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา ณ เมืองเบเล็ง รัฐปารา ประเทศบราซิล เป็นเสมือน “ห้องเจรจาแห่งอนาคต” ที่ประเทศทั่วโลกรวมตัวกันเพื่อตกลงทิศทางการเดินตามข้อตกลง การรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศ และทางออกด้านความยั่ยืน ทีเป้าหมายไกลเกินกว่าเรื่องการลดโลกร้อน ผ่านการลดคาร์บอนเพียงอย่างเดียว ที่เชื่อมโยงไปสู่ผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหาร เศรษฐกิจ ที่ดิน ชาติพันธุ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ และความเป็นธรรมเพื่อส่งต่อมรดกสู่คนรุ่นถัดไป
ปีนี้ COP30 จัดขึ้นที่เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ดินแดนแห่งผืนป่าอเมซอน ระบบนิเวศที่เคยสมบูรณ์แห่งหนึ่ง เปรียบเสมือน “ปอดของโลก” ที่กำลังบอบช้ำ และสูญเสียพื้นที่ป่าจากการเพิ่มอุณหภูมิของโลก เวทีนี้จึงเป็นการจุดประกายความคิดช่วยกันตั้งคำถาม
“มนุษย์พร้อมหรือยังที่จะเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจ จากการเอาทรัพยากรโลก มาเป็นการฟื้นคืนค่าของโลก?”

หนึ่งในองค์กรตัวแทนประเทศไทยที่เข้าร่วมการประชุม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดย หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นำทีมผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน เข้าร่วมการเวทีสำคัญของการกำหนดทิศทางโลกด้าน Climate และ Nature ในฐานะ “เจ้าของบทเรียนจริง” พิสูจน์แนวทาง การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศจะยั่งยืน ที่เริ่มต้นจากชุมชน โดยยึด “มนุษย์” เป็นศูนย์กลางการเปลี่ยนผ่าน
ผลลัพธ์เชิงประจักษ์จากโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เริ่มต้นจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาที่เคยเป็นแหล่งปลูกฝิ่นและป่าถูกบุกรุกอย่างหนัก เป็นเวลากว่า 50 ปี ของการทำงานกับชุมชน จนกลายเป็นต้นแบบการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการฟื้นฟูป่าไม้กว่า 70,000 ไร่ ควบคู่กับการยกระดับคุณภาพชีวิตชุมชนผ่านอาชีพทางเลือก
หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติ เทคโนโลยี และนโยบาย ได้เข้าร่วมเสวนาและนำเสนอแนวคิดในหลายเวทีของ UNFCCC และ Thailand Pavilion โดยนำบทเรียนจากพื้นที่จริง เช่น โครงการพัฒนาดอยตุงฯ และป่าชุมชนในประเทศไทย ไปสู่การสนทนานโยบายเชิงโครงสร้างระดับโลก
ใจความสำคัญหนึ่งที่ประเทศไทยส่งขึ้นเวที COP คือการยืนยันว่า
“หัวใจของการแก้ไขปัญหา สภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) และ ทรัพยากรธรรมชาติ (Nature) ไม่ใช่เทคโนโลยีหรือเงิน แต่คือผู้คน ผู้ที่อยู่ด่านหน้า ผู้ดูแลผืนป่า ดิน และน้ำ”
ในเวทีเสวนาเกี่ยวกับโทเค่น ที่แม้จะมีการเติบโตทางด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลักในการแก้ไขปัญหา โดยในเวที “Tokenization: Decentralizing Carbon Market” และ “Connecting the Dots from Ground Action to Global Commitments Through High Integrity Climate and Nature Implementation”มล.ดิศปนัดดา ได้แสดงความเห็นว่า เทคโนโลยี เช่น blockchain และ tokenization ถูกมองเป็น “เครื่องมือ” เช่น การนำข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อสร้างความโปร่งใสในการจัดการไฟป่าและโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชน ที่สำคัญต้องทำให้โลกมองเห็นคุณค่าของผู้ดูแลระบบนิเวศ ไม่ใช่อุปกรณ์แทนความเป็นมนุษย์
อย่างไรก็ตาม โลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเศรษฐกิจคาร์บอนสูงไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ซึ่งจะเกิดผลได้จริงก็ต่อเมื่อ ออกแบบวิธีการทำงานให้ “คนและชุมชน” เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนผ่านยกให้เป็นผู้นำในการดูแลระบบนิเวศ ส่วนเทคโนโลยีนำมาใช้ควบคู่กับการเคารพคุณค่าของชุมชนพวกเขาอย่างเป็นธรรม

“หากคาร์บอนเครดิตกลายเป็นเพียงสินทรัพย์ในตลาด โดยที่ชุมชนไม่ได้รับประโยชน์ โลกก็จะยังติดอยู่ในระบบเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียมเช่นเดิม”
อีกหนึ่งกลุ่มคนที่ไม่ควรมองข้ามคือ การยกระดับบทบาทของเยาวชน เพราะเสียงของคนรุ่นใหม่กำลังมีอิทธิพลสูงขึ้น ทั้งในฐานะผู้บริโภคและผู้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจ
“เรากำลังตัดสินอนาคตของคนที่ยังไม่เกิด งานด้านสิ่งแวดล้อมจึงต้องคิดข้ามรุ่น ต้องลงมือทำให้เร็ว และต้องเปิดพื้นที่ให้เยาวชนมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ”
หนึ่งในข้อเสนอสำคัญจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือการเรียกร้องให้ รัฐบาลทั่วโลกพิจารณาปรับงบประมาณด้านพลังงานและเงินอุดหนุนเชิงอุตสาหกรรมบางส่วน ไปสู่การลงทุนปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะถือเป็นการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำกว่า แต่ส่งผลกระทบเชิงบวกในระยะยาวได้สูงกว่า ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของโลก
ข้อเสนอนี้ถูกวางบนแนวคิดใหม่ที่เรียกว่า”Collective Capitalism” คือ ทุนนิยมที่เห็น “คุณค่าร่วม” มากกว่า “กำไรส่วนตัว แนวคิดนี้ชวนให้โลกเปลี่ยนวิธีการทำธุรกิจแบบเดิม จากการวางเป้าหมายให้เพิ่มผลตอบแทนทางการเงิน เป็น การใช้ทุนเพื่อสร้างคุณค่าร่วมระหว่าง คน ชุมชน ธรรมชาติ และเศรษฐกิจ
“เราต้องเปลี่ยนบทบาทของทุน จากเครื่องมือสร้างกำไร มาเป็นเครื่องมือสร้างอนาคตที่มนุษย์และธรรมชาติเติบโตไปด้วยกัน”
ตลอดเสวนา ผู้แทนจากไทยสะท้อนปมปัญหา ( pain point) สำคัญของระบบแก้ปัญหาภูมิอากาศในระดับโลก นั่นคือ
1.โครงการพัฒนาไม่ได้เริ่มจากความต้องการของชุมชน
2.ตลาดคาร์บอนถูกออกแบบโดยผู้ซื้อ มากกว่าผู้ดูแลป่า
3.การจัดการที่ดินไม่เป็นธรรม ทำให้ชุมชนไม่มีแรงจูงใจฟื้นฟูป่า
4.เยาวชนขาดโอกาสในการมีส่วนร่วมกำหนดอนาคตของสังคม
ที่ผ่านมาภาคส่วนที่เกี่ยวข้องยังวังวนวิธีการแก้ไขปัญหา Climate Change เพียงบนทฤษฎีในตำรา จากเอกสาร นโยบาย และซอฟต์แวร์ ทำให้ปัญหาเดินวนอยู่ในวงจรเดิม มุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ธรรมชาติและโครงสร้างสังคมพังทลาย

เวที COP30 ทำให้โลกได้เห็นบทพิสูจน์จากดอยตุงและพื้นที่ป่าชุมชนของไทยว่า
รัมภ์รดา นินนาท หัวหน้าสายงานความยั่งยืน มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ เข้าร่วมเวทีระดับโลก “Forests, Agriculture and the Green Economy of the Global South” นำเสนอความสำเร็จโครงการพัฒนาดอยตุงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมาที่ผันตัวจากวิกฤตความยากจนและการทำลายป่า สู่ต้นแบบการฟื้นฟูป่าไม้ควบคู่การสร้างรายได้ยั่งยืนให้ชุมชน
“ดอยตุงพิสูจน์แล้วว่าการฟื้นฟูป่าจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อคนในพื้นที่มีทางเลือกทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเดิม” รัมภ์รดากล่าว
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือองค์ความรู้จากพื้นที่จริง เป็นสิ่งที่“ดอยตุง”พิสูจน์แล้วว่าการฟื้นฟูป่าจะยั่งยืนได้ก็ต่อเมื่อคนในพื้นที่มีทางเลือกทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเดิม ถือเป็นแนวทางที่สามารถแบ่งปันระหว่างกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาสู่สู่เวทีโลกได้อย่างมีคุณค่า ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (South-South Cooperation) ซึ่งเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวจากระดับฐานรากสู่ความยั่งยืนระดับโลก
“องค์ความรู้จากพื้นที่จริงคือสิ่งที่ประเทศกำลังพัฒนาสามารถแบ่งปันให้โลกได้ หากสร้างความร่วมมือของประเทศในกลุ่มกำลังพัฒนาเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวจากฐานราก”
สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions และโครงการพิเศษ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ขึ้นไปแลกเปลี่ยนประสบการณ์บนเวที “Market Opportunities and Strategies” และ “Case Study of Tropical Forest Conservation” โดยชี้ชัดว่าความยั่งยืนที่แท้จริงเกิดขึ้นได้เมื่อชุมชนมีอาชีพมั่นคง สินค้าเกษตรได้มาตรฐานและสอดคล้องกับความต้องการของตลาด พร้อมกับสร้างความร่วมมือระยะยาวกับภาคเอกชน “ถ้าเราอยากให้ป่าอยู่ได้ยาวนาน เราต้องทำให้คนที่อยู่กับป่ามองเห็นอนาคตของตัวเองได้ยาวไม่แพ้กัน” สมิทธิกล่าว

ทิ้งท้ายว่า การอนุรักษ์ป่าจะประสบความสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มองเห็นอนาคตที่ดีกว่าสำหรับตัวเองและลูกหลาน ไม่ใช่แค่ถูกบอกให้อนุรักษ์โดยไม่มีทางเลือกอื่น
นอกจากนี้ ยังเสนอให้นำข้อมูลจากดาวเทียมและเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความโปร่งใสสำหรับการจัดการไฟป่าและโครงการคาร์บอนเครดิตของชุมชน ซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความมั่นใจให้กับนักลงทุน พิสูจน์ให้เห็นว่าโมเดลดอยตุงสามารถสร้างความยั่งยืนที่แท้จริงได้ ทั้งป่าและผู้คนอยู่ร่วมกันได้อย่างยาวนาน เมื่อชุมชนมีความมั่นคง สินค้ามีมาตรฐาน บวกกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย
จากเวทีโลก สู่คำถามสุดท้าย เมื่อปิดฉากการประชุมสิ้นสุดลง คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่มติหรือเอกสาร แต่เป็นแนวทางที่จะปฏิบัติต่อโลกในฐานะทรัพยากร หรือในฐานะระบบชีวิตที่ต้องรักษา? และการใช้ทุนสร้างกำไร หรือสร้างอนาคตร่วมกัน? รวมไปถึง เราจะทำเพื่อวันนี้ หรือเพื่อคนที่ยังไม่เกิด?
คำตอบนั้นไม่ได้เริ่มที่รัฐสภา หรือโต๊ะเจรจา แต่เริ่มจากพื้นที่จริง ให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงชุมชน เพื่อสร้างความร่วมมือ