

ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นปัญหาเรื้อรังที่ฝังลึกในโครงสร้างของประเทศไทยมานาน ความต่างระหว่างคนในเมืองกับคนในชนบท ไม่ได้มีแค่รายได้ แต่ยังรวมถึงโอกาสในการเข้าถึงทรัพยากรและคุณภาพชีวิต โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่พึ่งพาป่าและธรรมชาติในการดำรงชีพ เมื่อไม่มีทางเลือกทางเศรษฐกิจที่มั่นคง หลายชุมชนจึงต้องบุกรุกป่าเพื่อทำกินโดยไม่รู้เท่าทัน ป่าถูกทำลาย ดินเสื่อม น้ำหาย และสุดท้ายภัยธรรมชาติย้อนกลับมาสู่ชีวิตคนในเมือง ทั้งน้ำท่วม ฝุ่นควัน และต้นทุนชีวิตที่สูงขึ้น
ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องสิ่งแวดล้อม แต่มันสะเทือนโครงสร้างเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศโดยตรง
แนวคิด “ปลูกป่า ปลูกคน” จากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ จึงเป็นคำตอบที่มากกว่าการปลูกต้นไม้
แต่มันคือการ “ปลูกโอกาส” ให้ชุมชนมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสมดุล
จากประสบการณ์กว่า 40 ปีในการฟื้นฟูป่าอนุรักษ์ใน โครงการพัฒนาดอยตุง แนวคิดนี้ถูกต่อยอดสู่ระดับประเทศในรูปแบบ “โครงการจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ความร่วมมือระหว่างมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ภาครัฐ เอกชน และชุมชนในกว่า 12 จังหวัด
ผลลัพธ์จับต้องได้ มูลนิธิส่งมอบคาร์บอนเครดิตระยะที่ 1 ได้ถึง 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นปริมาณสูงสุดจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย

“คาร์บอนเครดิตจากป่า” อาจดูเหมือนแนวคิดเทคนิค แต่สำหรับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ มันคือการสร้างอาชีพใหม่ให้กับคนดูแลป่า
คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ Head of Nature-based Solutions and Special Projects ของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ อธิบายว่า โครงการนี้เริ่มในปี 2564 ด้วยเป้าหมายง่าย ๆ แต่ลึกซึ้ง “ทำให้คนอยู่ได้ ป่าอยู่รอด” โดยใช้มาตรฐาน T-VER ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.)
วันนี้โครงการขยายครอบคลุม 287,000 ไร่ ใน 12 จังหวัดทั่วไทย มีชุมชนกว่า 300 แห่ง และคนเข้าร่วมกว่า 150,000 คน ภาคเอกชนและรัฐวิสาหกิจที่เข้ามาร่วมมากกว่า 30 องค์กร เช่น ไทยเบฟฯ ปตท.สผ. บางจากฯ ธนาคารไทยพาณิชย์ ฯลฯ
ผลลัพธ์ทางพื้นที่ชัดเจน พื้นที่ไฟป่าลดลงจาก 12% เหลือ 4% ในระยะที่ 1–2 และจาก 8% เหลือ 3% ในระยะที่ 3
หัวใจของโครงการนี้ คือ “ชุมชนเป็นเจ้าของกติกา ข้อมูล และผลประโยชน์”เงินจากภาคเอกชนและผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตจะไหลกลับไปถึงชุมชนโดยตรง ผ่าน สองกองทุนหลัก
เงินสองกองทุนนี้หมุนเวียนแล้วกว่า 157 ล้านบาท และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ที่ช่วยตรวจวัดผลตามหลักสากล (MRV) ดูแลให้การใช้เงินและผลลัพธ์โปร่งใส ตรวจสอบได้
ทุกหมู่บ้านวางแผน เสนอโครงการ และติดตามผลด้วยตัวเอง นี่คือ จุดเปลี่ยนที่ทำให้ “การดูแลป่า” กลายเป็น “อาชีพสุจริต” ที่เลี้ยงชีวิตได้จริง

หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นภาพชัด คือ บ้านหัวทุ่ง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเขตสงวนชีวมณฑลดอยเชียงดาว แหล่งกำเนิดของ “น้ำออกฮู” ต้นน้ำสำคัญของลุ่มน้ำปิง
บ้านหัวทุ่งเข้าร่วมโครงการตั้งแต่ปี 2565 ดูแลป่าชุมชนกว่า 883 ไร่
นำโดย แม่หลวงศิริวรรณ ศรีเงิน ผู้นำหญิงที่รวมพลังชาวบ้านทุกวัย ตั้งกติกาใช้ป่าอย่างยั่งยืน
มีเวรยามลาดตระเวน ทำแนวกันไฟ และเก็บข้อมูลร่วมกับทีมเทคนิค
ผลลัพธ์ชัดเจน ป่าฟื้นตัว ระบบนิเวศแข็งแรง และชุมชนมีรายได้จาก “การดูแลป่า” ไม่ใช่ “บุกรุกป่า”เศษไม้ไผ่ในหมู่บ้านถูกแปรรูปเป็น ถ่าน ก้อนดับกลิ่น สบู่ และยาสีฟัน สร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุและคนเปราะบาง
ชุมชนยังขยายผลสู่หมู่บ้านรอบข้างอีก 5 แห่ง ถ่ายทอดความรู้เรื่องเพาะเห็ด เลี้ยงผึ้ง งานจักสาน และอาหารพื้นถิ่น
จนคนรุ่นใหม่เริ่มอยากกลับบ้าน และภูมิใจในบทบาท “ผู้พิทักษ์ต้นน้ำ”

สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านหัวทุ่ง ไม่ได้ดีแค่กับคนในหมู่บ้าน
แต่ช่วยลด PM2.5 จากไฟป่า รักษาคาร์บอนในระบบนิเวศ และฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ
ป่าที่แข็งแรงช่วยซับน้ำ ลดการพังทลายของดิน และรักษาคุณภาพน้ำต้นทุนของประเทศ
เมื่อป่าต้นน้ำแข็งแรง เศรษฐกิจฐานทรัพยากรของไทยก็มั่นคงขึ้น – ทั้งเกษตรกร นักท่องเที่ยว และเมืองปลายน้ำ
ภาคเอกชนที่เข้าร่วม เช่น ไทยเบฟฯ บางจากฯ ปตท.สผ. และธนาคารใหญ่ ๆ กว่า 30 แห่ง
ได้ประโยชน์ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)
นี่ไม่ใช่ CSR แบบชั่วคราว แต่คือโมเดลธุรกิจคาร์บอนต่ำที่สร้างคุณค่าร่วมให้ทั้งคนและโลก

“คาร์บอนเครดิตจากป่า” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือชดเชยคาร์บอน แต่คือ “สินทรัพย์สีเขียว” ที่ต่อยอดได้ในเศรษฐกิจใหม่ (Low Carbon Economy) โดยอยู่ภายใต้มาตรฐาน T-VER ที่สามารถซื้อขายได้อย่างถูกต้อง มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ยังร่วมกับ ไทยคม และ GISTDA พัฒนาเทคโนโลยี CarbonWatch Platform ใช้ดาวเทียมและ AI ประเมินคาร์บอนในป่าแบบเรียลไทม์ เพิ่มความแม่นยำ โปร่งใส และขยายผลได้ทั่วประเทศ
ในมุมมหภาค “โครงการปลูกป่า ปลูกคน” คือ โมเดลของการเติบโตที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง หรือที่เรียกว่า Inclusive Green Growth เพราะทุกต้นไม้ที่ปลูกคือทั้งเครื่องดูดคาร์บอนและเพิ่มแหล่งรายได้ของครอบครัว เมื่อมีรายได้เพียงพอชุมชนก็ไม่ต้องอพยพเข้าเมืองทรัพยากรกลับมาสมบูรณ์ และประเทศมีภูมิคุ้มกันต่อวิกฤตสภาพอากาศ

ในวันที่โลกต้องเร่งลดคาร์บอน และสังคมไทยต้องเร่งลดช่องว่าง “โครงการปลูกป่า ปลูกคน” คือ คำตอบที่จับต้องได้จริงของการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพราะสุดท้ายแล้ว
“เมื่อคนอยู่ได้ ป่าก็อยู่ได้ และเมื่อป่าอยู่ได้ ประเทศก็ยั่งยืน”