
วิกฤตความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย ยืนอยู่บน ‘ทางแยกของศรัทธา’ หลังต่างชาติเทขายหนักสุดในอาเซียนกว่า 1.5 แสนล้านบาท ก.ล.ต.เดินหน้า ‘Value Up’ ปฏิรูปความโปร่งใส สร้าง DNA ใหม่ของตลาดด้วย ESG นี่ไม่ใช่แค่เกมตัวเลข แต่คือการปรับโครงสร้าง ฟื้นความเชื่อมั่น” กู้ศรัทธาตลาดทุนไทยด้วยธรรมาภิบาล ป้องกันฟอกเขียว สร้างมูลค่ายั่งยืนที่จับต้องได้กับบริษัทจดทะเบียนของไทย
ในช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยถูกสั่นคลอนต่อเนื่อง จากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เศรษฐกิจชะลอตัว การบริหารภาครัฐที่ไม่แน่นอน ความผันผวนของตลาดโลก และแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติที่ยาวนานที่สุดในรอบหลายปี จากข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นักลงทุนต่างชาติถอนเงินออกจากตลาดหุ้นไทยกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.56 แสนล้านบาทในรอบ 12 เดือน ถือว่าสูงสุดในอาเซียน ทำให้ไทยถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “ตลาดที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในโลก” ในบางช่วงของปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ดัชนี SET ร่วงลงต่อเนื่อง นักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นลดจาก 5.84 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2567 เหลือเพียง 4.43 ล้านล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2568 หรือหายไปกว่า 1.41 ล้านล้านบาท ลดลง 24% ทั้งจากแรงขายและมูลค่าหุ้นที่ปรับลดลง สถานการณ์นี้ สะท้อนว่า “ตลาดหุ้นไทยไม่ได้เผชิญแค่ภาวะราคาตก” แต่กำลังเผชิญ “ภาวะศรัทธาถดถอยเชิงโครงสร้าง” ที่ลึกเกินการแก้เชิงเทคนิค นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามต่อระบบทั้งหมด ตั้งแต่ศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียน ไปจนถึงความเป็นธรรมของกลไกตลาดทุน
“วันนี้ตลาดทุนไทยไม่ได้แค่ต้องแก้เกมตัวเลข แต่มัน คือ การแก้เกมศรัทธา” นักวิเคราะห์อาวุโสรายหนึ่งกล่าวไว้
คุณเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษก ก.ล.ต. ได้เปิดเผยถึงทิศทางสำคัญของปี 2568 ว่า ก.ล.ต.จะมุ่ง “สร้างความเชื่อมั่นใหม่ในตลาดทุนไทย” ผ่านการยกระดับมาตรฐาน ESG (Environment, Social, Governance) เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ซึ่งหนึ่งในเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนครั้งนี้ คือ “โครงการ Value Up” ที่มุ่งให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส เชื่อมโยงกับการดำเนินงานจริง ไม่ใช่แค่ภาพลักษณ์ CSR แบบเดิม
“Value Up ไม่ได้แค่เพิ่มมูลค่าหุ้น แต่ คือ การวางรากฐานใหม่ให้ตลาดทุนไทยเติบโตบนฐานของความยั่งยืนและความรับผิดชอบ” คุณเอนก ได้กล่าวไว้
ก.ล.ต. เชื่อว่า หากบริษัทเปิดเผยข้อมูล ESG อย่างโปร่งใสและมีธรรมาภิบาลที่ดี จะดึงดูดกองทุน ESG ทั้งในและต่างประเทศมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยลด “Greenwashing” ที่เคยบั่นทอนภาพลักษณ์ตลาดไทย นอกจากนี้ การเข้าร่วมโครงการ Value Up จะช่วยให้บริษัท “ขับเคลื่อนธุรกิจผ่าน ESG” ได้จริง ผ่านกระบวนการเปิดเผยข้อมูลโปร่งใสที่ช่วยเพิ่มทั้งมูลค่าและความเชื่อมั่นในระยะยาว อีกทั้งยังสอดรับกับกลไก
“กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG)” ซึ่งจะพิจารณาบริษัทที่มีผลงาน ESG ชัดเจน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่ไม่ใช่เพียงการสื่อสารเชิงภาพลักษณ์ แต่เป็น “สะพานสู่การยกระดับมาตรฐานตลาดทุนไทยสู่ระดับสากล”
โครงการ Value Up ถูกออกแบบให้เป็นสะพานเชื่อมโลกธุรกิจแบบเดิมกับแนวทาง ESG ที่ยั่งยืน โดยบริษัทที่เข้าร่วมจะได้รับการสนับสนุนในด้านการพัฒนาธรรมาภิบาล การเปิดเผยข้อมูลรายงานประจำปี และการเชื่อมต่อกับกองทุน Thai ESG Fund ภายในปี 2569 จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจน เมื่อบริษัทที่เข้าร่วมตั้งแต่ปี 2567–2568 เริ่มเผยข้อมูล ESG อย่างเป็นรูปธรรม ถือเป็นการ
“พิสูจน์การทำจริง” ไม่ใช่เพียงคำโฆษณา “ความโปร่งใสและความยั่งยืนไม่ใช่คำสวยหรู แต่ คือโครงสร้างธุรกิจที่จะปกป้องนักลงทุนและขับเคลื่อนมูลค่าระยะยาวของประเทศ”
อีกก้าวสำคัญ คือ การให้บริษัทจดทะเบียนจัดทำรายงาน “การอธิบายผลการดำเนินงานของฝ่ายจัดการ” หรือ Interim MD&A ทุกไตรมาส เพื่อเปิดเผยสาเหตุการเปลี่ยนแปลงรายได้ ต้นทุน และฐานะทางการเงิน ช่วยให้นักลงทุนประเมินศักยภาพบริษัทได้อย่างแม่นยำ และลดช่องว่างระหว่างผู้บริหารกับผู้ถือหุ้น
“เราอยากเห็นข้อมูล Value Up ปรากฏในรายงานบริหารและเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้นักลงทุนติดตามได้ว่าบริษัทกำลังสร้างมูลค่าอย่างไร”
นอกจาก Value Up แล้ว ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ยังผลักดันโครงการ “Jump Up Plus” เพื่อยกระดับระบบตรวจสอบภายในและการกำกับดูแลให้เทียบเท่าสากล
ทั้งหมดนี้ คือ “เครื่องมือฟื้นศรัทธา” ที่จะทำให้ตลาดทุนไทยกลับมาน่าลงทุนอีกครั้ง
โปร่งใสคือศรัทธาใหม่ของตลาดทุนไทย—แม้วันนี้จะอยู่ในจุดต่ำสุดของความเชื่อมั่น แต่อีกด้าน นี่อาจเป็น “จุดเริ่มต้นของระบบใหม่” หาก Value Up และ Jump Up ดำเนินต่อเนื่องอย่างจริงจัง
“ความเชื่อมั่นไม่ได้สร้างจากคำพูด แต่สร้างจากความโปร่งใสที่ตรวจสอบได้”
ปี 2568 ก.ล.ต. เดินหน้านโยบายบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด โปร่งใส และยึดหลักฐานเป็นศูนย์กลาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่าตลาดไทยยังยืนอยู่บนฐานของความยุติธรรม ซึ่งในปีนี้มีการกล่าวโทษรวม 12 คดี ครอบคลุมพฤติกรรมผิดหลายประเภท ตั้งแต่ปั่นหุ้น ให้ข้อมูลเท็จ ทุจริตภายในบริษัท ฝ่าฝืนใบอนุญาต จนถึงคดีทางแพ่งอีก 18 คดี รวมผู้กระทำผิด 21 ราย คิดเป็นค่าปรับกว่า 117 ล้านบาท และเงินชดใช้คืนผู้เสียหายกว่า 60 ล้านบาท ศาลส่วนใหญ่พิพากษายืนตามมาตรการของ ก.ล.ต.
นอกจากนี้ ยังมีการกวาดล้างคดีหลอกลงทุนออนไลน์กว่า 7,000 เคส ปิดได้กว่า 3,000 เพจ และจัดตั้ง “ศูนย์ช่วยเหลือผู้เสียหายด้านการลงทุน” เพื่ออายัดทรัพย์และให้คำปรึกษาอย่างรวดเร็ว
พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังเพิ่มอำนาจให้ผู้ถือหุ้นสามารถตรวจสอบธุรกรรมสำคัญของบริษัท เช่น รายการที่มีนัยสำคัญ (Material Transaction) หรือรายการที่เกี่ยวโยงกัน (Related Party Transaction) โดยต้องผ่านมติผู้ถือหุ้น หากเสียงไม่เห็นด้วยเกิน 10% ธุรกรรมนั้นจะไม่สามารถเดินหน้าได้
“ตลาดที่เชื่อถือได้ ต้องมีระบบยุติธรรมที่เข้มแข็ง ใครทำผิดต้องถูกลงโทษ”
ตลาดทุนไทยกำลังยืนอยู่บนทางแยกของศรัทธา “Value Up” และ “Jump Up Plus” อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการสร้าง DNA ใหม่ของตลาดทุนไทย ให้โปร่งใส ยั่งยืน และเติบโตบนมูลค่าที่แท้จริง เพราะความเชื่อมั่น…จะกลับมาได้ก็ต่อเมื่อความโปร่งใสกลับมาเช่นกัน