
เมื่อพูดถึงธุรกิจน้ำมันปาล์มในประเทศไทย หลายคนอาจมองว่าเป็นอุตสาหกรรมแบบเดิมๆ ที่กำลังจะหมดยุค แต่ความจริงแล้ว บริษัทกลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าธุรกิจนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยเฉพาะหลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว วันนี้เราจะมาวิเคราะห์กันแบบละเอียดว่า SMO มีจุดแข็งอะไรบ้าง และนักลงทุนควรจับตามองอย่างไร

บริษัท SMO ดำเนินธุรกิจหลักในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ เมล็ดในอบแห้ง รวมถึงผลิตภัณฑ์ชีวมวลและไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานสกัดน้ำมันปาล์มทั้งหมด 4 โรงงาน กระจายอยู่ที่สุราษฎร์ธานี 2 โรงงาน ชุมพร 1 โรงงาน และสระบุรีอีก 1 โรงงาน
จากข้อมูลที่คุณกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SMO เปิดเผยว่า รายได้หลักของบริษัทมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์มาจากการขายน้ำมันปาล์มดิบและเมล็ดในอบแห้ง ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าแม้จะมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 2 เปอร์เซ็นต์ แต่กลับสร้างกระแสเงินสดให้กับบริษัทได้ดีถึงปีละ 100 ล้านบาท
กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่น่าสนใจคือ SMO มีกำลังการผลิตติดตั้งในปัจจุบันอยู่ที่ 240 ตันต่อชั่วโมง และกำลังจะเพิ่มเป็น 315 ตันต่อชั่วโมงในปีหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเติบโตของธุรกิจอย่างชัดเจน กำลังการผลิตที่สูงขึ้นนี้ช่วยให้บริษัทสามารถผลิตน้ำมันปาล์มดิบได้มากถึงเกือบ 30,000 ตันต่อเดือน ซึ่งเป็นปริมาณที่เพียงพอสำหรับการส่งออกทางเรือที่มีความจุถึง 12,000 ตันต่อลำ
หนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ทำให้ SMO แตกต่างจากคู่แข่งคือการเปลี่ยนแปลงโมเดลธุรกิจจากการขายในประเทศมาเป็นการส่งออก เมื่อ 3 ถึง 4 ปีที่ผ่านมา บริษัทเริ่มส่งออกเพียง 5 ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของยอดขาย แต่ในปี 2568 นี้ การส่งออกพุ่งขึ้นมาถึงกว่า 60 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ตลาดอินเดีย โอกาสทองที่ไม่ควรพลาด
ตลาดหลักที่ SMO มุ่งเน้นคือประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่บริโภคน้ำมันปาล์มถึง 10 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ประเทศไทยผลิตได้ทั้งหมดเพียง 3 ล้านตันเท่านั้น และสามารถส่งออกได้ประมาณ 1 ล้านตัน ซึ่งหมายความว่ายังมีโอกาสในการเติบโตอีกมาก
การเลือกตลาดอินเดียมีเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นระยะทางที่ใกล้ ต้นทุนการขนส่งที่ประหยัด และความต้องการที่สูงมาก ซึ่งทำให้การส่งออกไปยังอินเดียเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าและมีความเสี่ยงต่ำ
สิ่งที่น่าสนใจคือช่องว่างของราคาระหว่างตลาดในประเทศและต่างประเทศ ในประเทศไทย ราคาน้ำมันปาล์มถูกควบคุมโดยกระทรวงพาณิชย์เพื่อดูแลทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร ทำให้ราคาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่ในตลาดต่างประเทศ ราคาถูกกำหนดโดยกลไกตลาดโลกตามอุปสงค์และอุปทาน
การมีตลาดทั้งสองด้านนี้ทำให้ SMO สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดี โดยสามารถเลือกขายในตลาดที่ให้ราคาดีกว่าในแต่ละช่วงเวลา พร้อมทั้งรักษาฐานลูกค้าในประเทศไว้ด้วย
การใช้ประโยชน์จากน้ำมันปาล์มหลากหลายรูปแบบ
น้ำมันปาล์มดิบมีการใช้งานหลักอยู่ 2 ตลาดใหญ่ ได้แก่ ตลาดน้ำมันบริโภคสำหรับใช้ทอดและปรุงอาหาร และตลาดพลังงานสำหรับผลิตไบโอดีเซล ธุรกิจน้ำมันปาล์มมีประวัติอยู่คู่กับคนไทยมาประมาณ 50 ปีแล้ว โดยในอดีตจะเน้นการใช้เป็นน้ำมันบริโภคเป็นหลัก
นอกจากนี้ น้ำมันปาล์มยังถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมากมาย เช่น สบู่ ยาสระผม ยาสีฟัน เครื่องสำอาง วิตามิน และที่กำลังได้รับความสนใจคือการนำไปผลิตไบโอดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมสีเขียวที่กำลังเติบโต

จุดแข็งที่ชัดเจนที่สุดประการหนึ่งของ SMO คือกลยุทธ์ในการจัดหาวัตถุดิบ คุณกิตติพงศ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้อธิบายประเด็นนี้ว่า ในขณะที่ผู้ประกอบการรายอื่นอาจมีสวนปาล์มเป็นของตนเอง หรือรอรับซื้อผลผลิตอยู่ที่หน้าโรงงาน SMO กลับเลือกใช้กลยุทธ์เชิงรุกที่แตกต่างออกไป
บริษัทใช้วิธีขยาย “ลานรับซื้อ” ออกไปในพื้นที่ที่มีการเพาะปลูกปาล์มหนาแน่น คุณกิตติพงศ์เปรียบเทียบโมเดลนี้กับการขยายสาขาของร้านสะดวกซื้อ กล่าวคือ “ตรงไหนมีปาล์มหนาแน่น…เราก็ขยายลานเทไปตรงนั้น” วิธีการนี้ไม่เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้เกษตรกรอย่างมาก แต่ยังช่วยให้ SMO สามารถเข้าถึงและควบคุมคุณภาพวัตถุดิบได้ตั้งแต่ต้นทาง ยิ่งไปกว่านั้น กลยุทธ์การรับซื้อเชิงรุกนี้ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับความสามารถด้านโลจิสติกส์ของบริษัท
ประสิทธิภาพโลจิสติกส์กับการบริหารจัดการครบวงจร
ความสำเร็จของกลยุทธ์ลานรับซื้อ จะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ SMO ได้พัฒนาระบบขนส่งของตนเองเพื่อบริหารจัดการการลำเลียงวัตถุดิบจากลานรับซื้อต่างๆ เข้าสู่โรงงานสกัด
ในขณะเดียวกัน ระบบโลจิสติกส์นี้ยังครอบคลุมไปถึงการขนส่งน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) เพื่อการส่งออก ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การส่งออกทางเรือ ซึ่งเป็นวิธีการขนส่งที่มีต้นทุนต่ำที่สุด คุณกิตติพงศ์ให้ข้อมูลว่า ศักยภาพการผลิตของ SMO ในปัจจุบันสูงเพียงพอที่จะผลิตสินค้าเพื่อบรรจุเรือขนส่งขนาดใหญ่ที่มีปริมาณบรรทุกถึง 12,000 ตัน ได้ภายในระยะเวลาเพียง 15 วัน หรือประมาณสองสัปดาห์ สิ่งนี้สะท้อนถึงกำลังการผลิตที่มหาศาลและความพร้อมในการบริหารจัดการการส่งออกปริมาณมาก
ความคล่องตัวคือข้อได้เปรียบจากการไม่มีภาระสวนปาล์ม
นอกเหนือจากกลยุทธ์ทั้งสองประการข้างต้น อีกหนึ่งปัจจัยที่ประกอบกันเป็นความแข็งแกร่งของ SMO คือการที่บริษัท “ไม่มีสวนปาล์ม” เป็นของตนเอง ในขณะที่คู่แข่งหลายรายอาจมองว่าการมีสวนปาล์มเป็นของตนเองคือการบูรณาการธุรกิจ (Vertical Integration) แต่คุณกิตติพงศ์ชี้ให้เห็นว่า การที่ SMO ไม่มีสวน ทำให้บริษัทไม่ต้องแบกรับภาระการลงทุนขนาดใหญ่ในที่ดิน และไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงโดยตรงจากความผันผวนของผลผลิตที่ขึ้นอยู่กับสภาพดินฟ้าอากาศ
ดังนั้น การตัดสินใจไม่ลงทุนในสวนปาล์ม จึงช่วยให้ SMO สามารถมุ่งเน้นทรัพยากรและความเชี่ยวชาญไปที่กระบวนการแปรรูปและการบริหารจัดการอุปทานซึ่งเป็นจุดแข็งหลัก ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการปรับตัวตามสถานการณ์ตลาด และรักษาเสถียรภาพของต้นทุนวัตถุดิบผ่านกลยุทธ์การรับซื้อเชิงรุกแทน
หนึ่งในความท้าทายใหญ่ที่ SMO ต้องเผชิญคือนโยบายของรัฐบาลที่ลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลลงมา จากเดิมที่เคยผสม 10 เปอร์เซ็นต์ (B10) ปัจจุบันลดลงเหลือเพียง 3 ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ (B3-B5) ซึ่งส่งผลให้ความต้องการน้ำมันปาล์มในประเทศลดลง
แต่ SMO ได้เตรียมรับมือกับปัญหานี้มาตั้งแต่หลายปีก่อนแล้ว ด้วยการเร่งพัฒนาช่องทางการส่งออกไปยังต่างประเทศ ทำให้เมื่อตลาดในประเทศหดตัว บริษัทก็สามารถชดเชยด้วยตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยุครถยนต์ไฟฟ้าและการปรับตัว
อีกหนึ่งความกังวลของนักลงทุนคือการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่อาจทำให้การใช้น้ำมันลดลง แต่ตามที่คุณกิตติพงษ์อธิบายว่า ปัจจุบัน EV มีสัดส่วนเพียง 2 ถึง 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และแม้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เปอร์เซ็นต์ในอนาคต SMO ก็พร้อมรับมือด้วยการมุ่งเน้นตลาดส่งออกไปยังประเทศกำลังพัฒนาที่ยังมีความต้องการน้ำมันสูง
การควบคุมราคาโดยภาครัฐ
ภาครัฐมีบทบาทในการควบคุมราคาน้ำมันปาล์มในประเทศเพื่อดูแลทั้งผู้บริโภคและเกษตรกร โดยไม่ให้ราคาสูงเกินไปจนกระทบค่าครองชีพ และไม่ให้ต่ำเกินไปจนเกษตรกรขาดทุน ในประเทศไทยมีชาวสวนปาล์มถึง 400,000 ครัวเรือน ซึ่งเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ
ในบางสถานการณ์ เช่น ช่วงที่มีการส่งออกมากเกินไปหรือผลผลิตขาดแคลนจากภัยแล้ง ภาครัฐอาจขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการชะลอหรือเว้นวรรคการส่งออกชั่วคราว เพื่อให้มีน้ำมันเพียงพอสำหรับผู้บริโภคในประเทศ
หลายคนอาจมองว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มกำลังจะถึงจุดอิ่มตัว แต่ความจริงแล้วยังไม่ใช่เลย ทั้งโลกมีการบริโภคน้ำมันปาล์มประมาณ 70 ถึง 80 ล้านตันต่อปี และมีอัตราการเติบโตประมาณ 1 ล้านตันต่อปี ตามการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก
น้ำมันปาล์มยังคงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คน ไม่เพียงแต่ใช้ในการปรุงอาหาร แต่ยังถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด ตั้งแต่วิตามิน เครื่องสำอาง ยาสระผม ผงซักฟอก ไปจนถึงไบโอดีเซลและน้ำมันเครื่องบิน
ปาล์มให้ผลผลิตสูงสุดต่อไร่
เหตุผลสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังมีอนาคต คือปาล์มเป็นพืชที่ให้ผลผลิตน้ำมันต่อไร่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับพืชน้ำมันชนิดอื่น เช่น ถั่วเหลือง ทานตะวัน หรือข้าวโพด ซึ่งหมายความว่าปาล์มมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุด และไม่สามารถถูกทดแทนได้ง่าย
พื้นที่ปลูกยังขยายได้ ในประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกปาล์มประมาณ 6 ล้านไร่ และยังมีการขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มในภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาคใต้ตอนล่าง โดยมีการปลูกทดแทนพืชชนิดอื่น เช่น นาข้าว ยางพารา อ้อย และมันสำปะหลัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมนี้ยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก
การนำ AI มาใช้ในการดำเนินงาน : แม้ว่า SMO จะเป็นธุรกิจแบบดั้งเดิม แต่บริษัทก็ไม่ได้มองข้ามความสำคัญของเทคโนโลยี ปัจจุบัน SMO กำลังพัฒนาการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในหลายด้าน เช่น ระบบโลจิสติกส์ การประเมินคุณภาพปาล์ม กล้องวงจรปิด ระบบเครื่องชั่ง และการคำนวณค่าขนส่ง การนำเทคโนโลยีมาใช้นี้มีเป้าหมายหลักเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงานและเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นในระยะยาว
จากข้อมูลที่ได้วิเคราะห์มาทั้งหมด SMO มีจุดแข็งหลายประการที่น่าสนใจ ทั้งโมเดลธุรกิจที่เปลี่ยนมาเน้นการส่งออก กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น กลยุทธ์การรับซื้อแบบเชิงรุก ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ และฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังคงมีอนาคตที่สดใสเพราะความต้องการที่เติบโตตามประชากรโลก และความจริงที่ว่าปาล์มเป็นพืชที่ให้ผลผลิตน้ำมันต่อไร่สูงสุดและมีต้นทุนต่ำสุด ทำให้ไม่สามารถถูกทดแทนได้ง่าย ประกอบกับการนำไปใช้ประโยชน์ในผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายทั้งอาหار เครื่องสำอาง วิตามิน และพลังงาน
สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นที่มีทั้งโอกาสเติบโตและผลตอบแทนจากเงินปันผล SMO อาจเป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณา เพราะบริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการเพิ่มกำลังการผลิต 20 เปอร์เซ็นต์และคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น 30 ถึง 40 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า พร้อมกับนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของกำไรสุทธิ
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามปัจจัยเสี่ยงบางประการ เช่น นโยบายของรัฐบาลในเรื่องไบโอดีเซล การเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าที่อาจส่งผลต่อความต้องการน้ำมันในระยะยาว และการควบคุมราคาโดยภาครัฐที่อาจกระทบต่อกำไร แต่ดูเหมือนว่า SMO ได้เตรียมรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ไว้แล้วด้วยการขยายตลาดส่งออกอย่างจริงจัง

คุณกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ SMO ได้ให้มุมมองที่น่าสนใจว่า นักลงทุนควรมองบริษัทใน 2 มิติ ประการแรก อุตสาหกรรมปาล์มยังเติบโตได้อีกไกล เพราะผลิตภัณฑ์จากปาล์มจะอยู่คู่กับมนุษย์ไปอีกนานแสนนาน ประการที่สอง ตัว SMO เองอยู่ในอุตสาหกรรมนี้มาประมาณ 15 ปี เปรียบเสมือนคนหนุ่มอายุ 30 กว่าปีที่ผ่านความยากลำบากมาแล้ว มีหนี้สินต่ำเพียง 0.8 เท่า และกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น การลงทุนใน SMO ในช่วงนี้จึงเปรียบเสมือนการติดปีกให้กับบริษัทเพื่อบินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งเป็นข้อความที่สะท้อนถึงความมั่นใจของผู้บริหารในอนาคตของธุรกิจ
จุดสังเกตสำหรับนักลงทุน
นักลงทุนที่สนใจในหุ้น SMO ควรติดตามประเด็นสำคัญดังนี้
สรุปมุมมองของนักวิเคราะห์
จากการวิเคราะห์แบบองค์รวม SMO มีจุดเด่นที่ชัดเจนในหลายด้าน ทั้งโมเดลธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนมาเน้นการส่งออก กลยุทธ์การรับซื้อที่เชิงรุก และฐานะการเงินที่มั่นคง อีกทั้งยังอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการเติบโตต่อเนื่องตามประชากรโลก
อัตราหนี้สินต่อทุนที่เพียง 0.8 เท่าและกำไรสะสมเกือบ 1,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางการเงินและความสามารถในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต ประกอบกับนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ทำให้เป็นหุ้นที่น่าสนใจสำหรับทั้งนักลงทุนที่มองหาการเติบโตและผู้ที่ต้องการรายได้จากเงินปันผล
แม้จะมีความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐและการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า แต่บริษัทได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวด้วยการขยายตลาดส่งออกอย่างมีประสิทธิภาพ การที่สามารถเพิ่มสัดส่วนการส่งออกจาก 5 เปอร์เซ็นต์เป็นกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ภายในเวลาเพียง 3 ถึง 4 ปี แสดงให้เห็นถึงความคล่องตัวและวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร
สำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาโอกาสในหุ้น IPO ตัวใหม่ SMO อาจเป็นทางเลือกที่น่าพิจารณา เพราะมีพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง แผนการเติบโตที่ชัดเจน และอยู่ในอุตสาหกรรมที่ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและพิจารณาความเสี่ยงต่างๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เพราะการลงทุนในหุ้นมีความเสี่ยง และผลตอบแทนในอดีตมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนในอนาคต
สุดท้ายแล้ว คำถามที่ว่า SMO จะรุ่งหรือร่วงหลัง IPO คงต้องให้เวลาเป็นคำตอบ แต่จากข้อมูลและการวิเคราะห์ทั้งหมด บริษัทมีปัจจัยบวกมากกว่าปัจจัยลบ และมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต หากบริษัทสามารถดำเนินตามแผนที่วางไว้ได้สำเร็จ โดยเฉพาะการขยายกำลังการผลิตและการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดส่งออก นักลงทุนก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีทั้งจากการเติบโตของราคาหุ้นและเงินปันผลที่จ่ายอย่างต่อเนื่อง
| หมวดหมู่ | รายละเอียด |
| ชื่อบริษัท | บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) – SMO |
| ธุรกิจหลัก | ผลิตน้ำมันปาล์มดิบ (CPO), เมล็ดในอบแห้ง, ไฟฟ้าจากชีวมวล (PPA 12.7 MW) |
| โรงงานทั้งหมด | 4 โรงงาน: ท่าชนะ 2 แห่ง, สระบุรี 1 แห่ง, ชุมพร 1 แห่ง |
| รายได้ (ครึ่งปี 2568) | 2,543 ล้านบาท (ไตรมาส 1-2) |
| กำไรสุทธิ (ครึ่งปี 2568) | 518.51 ล้านบาท |
| กำลังการผลิต | 240 ตัน/ชั่วโมง ปัจจุบัน |
| เป้าหมายการขยาย | ขยายโรงงานใหม่ในภาคใต้ (รายละเอียดเพิ่มเติมจากการ IPO) |
| สัดส่วนส่งออก | ปี 2567: เพิ่มขึ้นเป็น 60% จากเดิม 5-10% |
| ตลาดเป้าหมาย | ประเทศอินเดีย (หลัก), ตลาดเอเชีย |
| IPO จำนวนหุ้น | 231.60 ล้านหุ้น |
| ราคา IPO (ช่วง) | 6.80 – 7.80 บาท/หุ้น |
| ความต้องการ IPO | 8,000+ ราย |
| โรคโควิด-19 (ประวัติ) | ตั้งตั้ง 15 ปีในอุตสาหกรรมปาล์ม |
| ฐานเกษตรกร | สนับสนุน 400,000 ครัวเรือนสวนปาล์มไทย |
อ้างอิง Executive Talk Podcast
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Community สังคมแห่งการลงทุน” เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect