
"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจกลยุทธ์การลงทุนเดือน ธ.ค.นี้ จากโบรกเกอร์ทั้งหมด 5 แห่ง ปรากฏว่า ส่วนใหญ่ประเมินเหมือนกันว่า ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) เดือนนี้จะเคลื่อนไหวแบบ Sideways โดยมีกรอบแนวรับ - แนวต้าน ดังนี้
คาด SET ธ.ค. เคลื่อนไหวกรอบ 1,230-1,345 จุด | |
บล. | กรอบดัชนี |
เคจีไอ | 1,233 - 1,345 |
ดาโอ | 1,230 - 1,310 |
ทรีนีตี้ | 1,230 - 1,300 |
ลิเบอเรเตอร์ | 1,230 - 1,300 |
ฟินันเซียฯ | 1,230 - 1,300 |
บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ช่วงเดือน ธ.ค.นี้ เริ่มมีปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจ และตลาดการเงินโลกดูเป็นบวกมากขึ้นเล็กน้อย จากความหวังสหรัฐฯจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อีกทั้ง ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ จีน มีสัญญาณดีขึ้น

เช่นเดียวกับ บทวิเคราะห์ บล.ลิเบอเรเตอร์ ที่มองว่า การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในคืนวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ซึ่งคาด Fed มีโอกาสสูงที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯลงอีก 0.25% เป็นแรงหนุนหลัก ส่วนการประชุมอื่นที่ยังคงน่าสนใจ เช่น การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 17 ธ.ค.นี้ ยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยช่วงปลายปี อาจโดนกระทบจากภาวะน้ำท่วมภาคใต้ ซึ่งจุดนี้ทำให้ตลาดคาดหวังโอกาสที่ กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยได้เช่นกัน ขณะที่มุมมองบางส่วนประเมินว่า Policy Space ของไทยที่เหลือไม่เยอะอาจทำให้ กนง. คงดอกเบี้ยไว้ก่อนได้เช่นกัน ซึ่งต้องติดตามใกล้ชิด
สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ ที่มองตลาดหุ้นไทยเดือน ธ.ค.นี้ จะเริ่มซึมซับข่าวดีเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการยุติโครงการ QT ของ Fed, ความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed และ กนง. ซึ่งปัจจุบันยังไม่ถูก Fully priced in
ด้าน บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส เสริมว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ PMI ภาคการผลิตจีนเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา, ตัวเลข ISM ภาคการผลิตและบริการเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา, เงินเฟ้อ PCE เดือน ก.ย.ที่ผ่านมาของสหรัฐฯ และตัวเลขเงินเฟ้อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ของประเทศไทย ที่จะมารายงานในเดือน ธ.ค.นี้ รวมถึงการประเมินโอกาสที่ Fed และ กนง. จะตัดสินใจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมนัดสุดท้ายของปีในเดือนนี้ จะเป็นปัจจัยกำหนดทิศทางการแกว่งตัวของดัชนี
ฟาก บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การประชุมนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่จะมีขึ้นในเดือน ม.ค.2569 โดยผลการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ย และมุมมองต่อเศรษฐกิจของทั้ง 2 ธนาคารกลาง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทิศทางของกระแสเงินทุน (Fund Flow) และค่าเงินบาท และบรรยากาศการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญต่อ SET Index ในระยะถัดไป
บทวิเคราะห์ บล.ลิเบอเรเตอร์ กลับมากล่าวต่อว่า ปัจจัยกดดัน SET Index ในเดือน ธ.ค.นี้ คือ ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ซึ่งนักลงทุนต้องติดตามการเปิดสมัยประชุมวิสามัญเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลยังไม่รีบยุบสภาในเดือน ธ.ค.นี้
ฟาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส เสริมว่า ปัจจัยการเมืองในประเทศต้องติดตามว่าจะเห็นการยุบสภาเกิดขึ้นในวันที่ 12 ธ.ค.นี้ หรือไม่ ? หากฝ่ายค้านมีการยื่นซักฟอกในการเปิดสมัยประชุม โดยอาจทำให้ตลาดเข้าโหมด Wait and See เพื่อรอผลการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลที่ชัดเจน
สอดคล้องกับ บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ที่ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยอาจเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในเดือน ธ.ค.นี้ เพราะอาจมีการยุบสภาก่อนกำหนดตามกรอบเวลาเดิม คือ เดือน ม.ค.2569 อีกทั้ง นักลงทุนมีแนวโน้มระมัดระวังมากขึ้นจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจไทยอาจจะชะลอตัวในเดือนต่อ ๆ ไป ขณะที่ตลาดรับรู้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกโดยรัฐบาลชุดปัจจุบันไปมากแล้ว
ส่วน บทวิเคราะห์ บล.ดาโอ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า การเมืองในประเทศยังมีความไม่แน่นอนต่อการยุบสภา จึงต้องติดตามท่าทีของนายกรัฐมนตรี และพรรคการเมืองที่อาจส่งสัญญาณของอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งอาจนำไปสู่การยุบสภาก่อนเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญครั้งที่ 2 วันที่ 12 ธ.ค.นี้ โดยการยุบสภาอาจนำไปสู่สูญญากาศทางการเมือง และความไม่แน่นอนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ จะเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทยก่อนมีการประกาศเลือกตั้ง
ขณะที่ กลยุทธ์การลงทุนเดือน พ.ย.นี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำลงทุนในธีมหุ้นที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มเติบโตแกร่ง รองลงมา คือ กลุ่มหุ้นที่มีมูลค่า (Valuation) ที่เริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้งหลังราคาหุ้นก่อนหน้านี้ปรับตัวลงมาพอสมควร โดยมีหุ้นแนะนำทั้งหมด 22 บริษัท ดังนี้
22 หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. | |||
บล. | ชื่อย่อหุ้น | ราคาเหมาะสม (บ.) | %อัปไซด์* |
ดาโอ | CK | 23.50 | 91.06 |
SJWD | 13 | 79.31 | |
MAGURO | 33 | 44.10 | |
CPAXT | 23 | 41.98 | |
SCGP | 22 | 41.03 | |
MINT | 28 | 27.27 | |
ลิเบอเรเตอร์ | SGC | 1.58 | 77.53 |
AMATA | 23.61 | 41.38 | |
GLOBAL | 7.90 | 20.61 | |
ฟินันเซียฯ | BDMS | 31.50 | 65.79 |
MAGURO | 31.60 | 37.99 | |
BTG | 20 | 15.61 | |
CBG | 50 | 10.50 | |
WHAUP | 4.50 | 10.20 | |
เคจีไอ | ORI | 3.30 | 63.37 |
CPN | 67 | 25.23 | |
WHA | 3.80 | 17.28 | |
AP | 9.80 | 13.95 | |
ADVANC | 335 | 10.15 | |
ทรีนีตี้ | ERW | 3.50 | 56.25 |
AP | 11.20 | 30.23 | |
ITC | 20.90 | 27.44 | |
AAV | 1.13 | 10.32 | |
BAM | 8 | 10.22 | |
*อัปไซด์เทียบราคาปิด 28 พ.ย.68 | |||
22 บริษัทดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นหุ้นในดัชนี SET100 จำนวน 18 บริษัท โดยกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ติดโผมากสุด จำนวน 5 บริษัท รองลงมา คือ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่ติดโผ จำนวน 4 บริษัท
บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) หรือ AP และ บมจ.มากุโระ กรุ๊ป (MAGURO) เป็น 2 บริษัท ที่ถูกโบรกเกอร์แนะนำตรงกันมากสุดในเดือน ธ.ค.นี้ จำนวน 2 แห่ง เท่ากัน โดย AP มีจุดเด่น คือ การได้รับอานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มปรับตัวลงไปจนถึงปี 2569 เป็นอย่างน้อย หนุนกำลังซื้อผู้บริโภคฟื้นตัว อีกทั้ง ราคาหุ้นก่อนหน้านี้ปรับตัวลงมามากพอสมควรแล้ว จนทำให้ Valuation เริ่มกลับมาน่าสนใจ อีกทั้ง AP ยังเป็นหุ้นที่มักจ่ายเงินปันผลคิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend Yield) ระดับสูง โดยเดือน ธ.ค. ของทุกปี มักมีแรงซื้อจากการเก็งกำไรเงินปันผลเข้ามาด้วย
ด้าน MAGURO มีจุดเด่นเพราะนักวิเคราะห์ประเมินว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มที่กำไรปกติจะทำสถิติสูงสุดตลอดกาล (All Time High) ราว 50 - 55 ล้านบาท หลังคาดรายได้รวมจะเติบโต 40% จากปีก่อน และเติบโต 7% จากไตรมาสก่อน จากการขยายตัวของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/68 พลิกกลับมาเป็นบวกได้ อีกทั้ง ค่าใช้จ่ายในการขายและบริการ (SG&A) มีแนวโน้มลดลงทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อน อีกด้วย
ทั้งนี้ บมจ.ช.การช่าง (CK) เป็นบริษัทที่ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์สูงสุดถึง 91.06% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 23.50 บาท/หุ้น รองลงมา คือ บมจ.เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) ที่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 79.31% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 13 บาท/หุ้น
นอกจากนี้ ยังมีอีก 4 บริษัท ที่ราคาหุ้นซื้อขาย ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์มากกว่า 50% ประกอบด้วย บมจ.เอสจี แคปปิตอล (SGC) ที่ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 77.53% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 1.58 บาท/หุ้น
ฟาก บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 65.79% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 31.50 บาท/หุ้น, บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 63.37% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 3.30 บาท/หุ้น และ บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน มีอัปไซด์ 56.25% หลังถูกนักวิเคราะห์ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 3.50 บาท/หุ้น