กพช.เดินหน้า Quick Big Win เข็นโครงการ โซลาร์ฟาร์มชุมชน รวม 1,500 เมกะวัตต์ เร่งกำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือกเอกชน - พื้นที่ภายในพ.ย.นี้ พร้อมเดินหน้าขยายระบบส่งไฟฟ้ารองรับ Data Center นายอรรพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ กรอบหลักการเบื้องต้นการดำเนินโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชน (Community-based Solar Power Generation Project) ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย Quick Big Win ของกระทรวงพลังงาน โดยมีเป้าหมายในการผลักดันและขับเคลื่อนโครงการไฟฟ้าชุมชน เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระดับท้องถิ่น และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของประชาชนทั่วประเทศ 
สำหรับรูปแบบโครงการจะเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน ขนาดไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ต่อแห่ง รวมกำลังการผลิตไม่เกิน 1,500 เมกะวัตต์ โดยการกำหนดขนาดและพื้นที่เป้าหมายในการดำเนินโครงการจะพิจารณาจากศักยภาพระบบไฟฟ้าความต้องการใช้ไฟของชุมชน และความพร้อมของที่ดินในพื้นที่ ซึ่งการไฟฟ้าจะเป็นผู้รับซื้อไฟฟ้าจากโครงการในรูปแบบ Feed-in Tariff (Fit) อัตราไม่เกิน 2.25 บาทต่อหน่วย เป็นระยะเวลา 25 ปี สัญญาแบบ Non-Firm และเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าที่ผลิตได้ให้แก่ผู้ใช้ไฟในชุมชนเป้าหมาย ด้านการคัดเลือกเอกชนร่วมดำเนินโครงการจะพิจารณาจากความพร้อมทั้งด้านคุณสมบัติและเทคนิค เพื่อให้มั่นใจว่าสามารถพัฒนาและดำเนินการได้ตามแผนจนตลอดอายุสัญญา ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กฟภ. ร่วมกันกำหนดพื้นที่ชุมชนเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับดำเนินโครงการ รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการเข้าร่วมโครงการให้แล้วเสร็จภายในเดือน พ.ย.นี้ นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังเห็นชอบหลักการร่างสัญญา Energy Wheeling Agreement (EWA) สำหรับโครงการบูรณาการด้านไฟฟ้าระหว่าง สปป.ลาว ไทย มาเลเซีย และสิงคโปร์ ระยะที่ 2 โดยเห็นชอบอัตราค่า Wheeling Charge ของไทย เท่ากับ 3.5879 US Cent/หน่วย ทั้งนี้ สามารถปรับเพิ่มอัตราดังกล่าวได้ แต่ต้องไม่ก่อนวันที่ 22 มิ.ย. 2569 โดยไม่ต้องนำมาเสนอ กพช.อีกครั้ง เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และรักษาผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ขณะเดียวกัน ที่ประชุม มอบหมายให้ กฟผ.นำเสนอสำนักงานอัยการสูงสุด ตรวจพิจารณาร่าง EWA โครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 และมอบหมายให้ กฟผ.ลงนามในร่างสัญญาดังกล่าว ที่ผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุดแล้ว โดยโครงการ LTMS-PIP ระยะที่ 2 ถือเป็นโครงการนำร่องที่สำคัญภายใต้ ASEAN Power Grid ซึ่งมีเป้าหมายในการเชื่อมโยงโครงข่ายไฟฟ้าของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่ออำนวยความสะดวกในการซื้อขายและส่งผ่านพลังงานไฟฟ้าข้ามประเทศ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการทรัพยากรพลังงานในภูมิภาค นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังเห็นชอบให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้า เพื่อรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผู้ประกอบการ Data Center ตามนโยบายรัฐบาล โดยให้ใช้งบประมาณภายใต้โครงการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าบริเวณภาคตะวันออก เพื่อเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้าประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติไว้แล้ว เพื่อดำเนินการปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้สามารถรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้ารวมประมาณ 1,750 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้ กฟผ.จัดทำรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมในระยะสั้น และระยะยาว ซึ่งเป็นแผนการดำเนินการที่ต้องเสนอครม.อนุมัติใหม่ วงเงินลงทุนประมาณ 30,500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มศักยภาพและความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในพื้นที่ภาคตะวันออกให้เพียงพอต่อความต้องการขยาายตัวของอุตสาหกรรมดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานหลักในพื้นที่ EEC นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบแนวทางดำเนินการสำหรับโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ แบบติดตั้งบนพื้นดิน โดยเห็นชอบให้ดำเนินการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในอัตรารับซื้อ 2.1679 บาทต่อหน่วย เนื่องจากอัตราค่าไฟฟ้าสำหรับใช้เจรจาของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินที่ กฟผ.ได้ดำเนินการจัดทำโดยปรับให้สอดคล้องกับลักษณะโครงการและต้นทุนการดำเนินการของภาคเอกชน ตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2568 มีอัตรา 2.1941 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินการเช่นเดียวกับกรณีโครงการพลังงานสมที่อัตราค่าไฟฟ้าโครงการพลังงานลมที่กฟผ. ดำเนินการสูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้า Fit โครงการพลังงานลมเช่นกัน ทั้งนี้ ที่ประชุม มีมติให้ภาคเอกชนพิจารณาปรับลดอัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน และลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในภาพรวม และมอบหมายให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) พิจารณาปรับปรุงกรอบระยะเวลาการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และขยายกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (SCOD) ซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามมติ กพช. เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2567 ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ของแต่ละโครงการ โดยการขยาย SCOD ต้องไม่เกินปี 2573 นายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ยังเห็นชอบ แนวทางการปรับปรุงกำหนดวันเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาริชย์ (SCOD) และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์พลังงานและความต้องการใช้ไฟฟ้าของประเทศในปัจจุบัน “เนื่องจากแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าฉบับใหม่ อยู่ระหว่างการจัดทำและยังไม่แล้วเสร็จ ที่ประชุมจึงเห็นควนให้ใช้แผน PDP2018 Rev.1 เป็นกรอบดำเนินการ พร้อมปรับปรุงกำหนด SCOD และแผนการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าในช่วงปี 2568-2573 การปรับปรุงดังกล่าวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ โดยเน้นรักษาความมั่นคงของระบบไฟฟ้าป้องกันกำลังผลิตเกินจำเป็น และลดภาระค่าไฟฟ้าของประชาชนในระยะยาว”นายอรรถพล กล่าว ขณะเดียวกัน ที่ประชุมยังเห็นชอบแนวทาง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และลำดับความสำคัญของการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ประจำปีงบประมาณ 2569-2571 เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายด้านพลังงานของประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในทุกภาคส่วน ตามที่คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดกรอบการใช้จ่ายรวม 15,000 ล้านบาท โดยเน้นสนับสนุนโครงการด้านการอนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก การวิจัยนวัตกรรม การสาธิต นำร่องการพัฒนาบุคลากร แบ่งเป็นปีงบประมาณ 2569 จำนวน 9,000 ล้านบาท และปี 2570-2571 ปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งในวงเงิน 9,000 ล้านบาท ของปร 2569 นั้น รวมถึงโครงการโซลาร์สูบน้ำ ซึ่งเป็นการสานต่อโครงการไฟฟ้าชุมชนพลังงานแสงอาทิตย์ มีเป้าหมายในการกระจายระบบพลังงานแสงอาทิตย์ไปใช้ในระบบชลประทานและประปาหมู่บ้านทั่วประเทศ 
|