รัฐบาลเดินหน้า โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” หลัง 4 หน่วยงานรัฐและเอกชน ทำ MOU ยกระดับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบบริการทางการแพทย์ ตามนโยบาย Quick Big Win ให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยรายการยา เปิดทางซื้อยาภายนอก ชี้ลดภาระค่ายาได้ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี หวังเพิ่มโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงโรงพยาบาลเอกชน
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการ “สุขกาย สบายกระเป๋า” โดยเป็นโครงการที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจ และ ด้านสุขภาพครั้งสำคัญของประเทศไทย ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนการให้บริการทางการแพทย์ครั้งยิ่งใหญ่ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญกับงานด้านสาธารณสุขของประเทศที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพพี่น้องประชาชน ทั้งนี้ ในปัจจุบันโรงพยาบาลของรัฐ มีผู้ป่วยไปรอรับการรักษาเป็นจำนวนมาก ในขณะที่การมาใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนก็ยังคงมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ทั้งค่ายา และ ค่าเวชภัณฑ์ เนื่องจากรัฐบาลได้ดำเนินนโยบาย Quick Big Win ที่ต้องการลดค่าของชีพของประชาชนในทุกมิติ จึงได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงสาธารณสุข หาแนวทางแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในเรื่องของการรักษาพยาบาล โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมโรงพยาบาลเอกชนในการขับเคลื่อนนโยบายนี้ร่วมกัน "ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านมาณโอกาสนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความร่วมมือจากผู้บริหารโรงพยาบาลเอกชน ในรูปของสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โครงการสุขกายสบายกระเป๋า ถือเป็นโครงการหนึ่งในภารกิจ Quick Big Win ที่รัฐบาลนี้เน้นกระตุ้นสั้น ให้ได้ผลยาว และ กระจายตัว" การให้โรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยรายการยา และ ค่ายา เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้รับบริการ ที่โรงพยาบาลเอกชนมีข้อมูลที่ชัดเจน สามารถตัดสินใจเลือกซื้อยาในโรงพยาบาลนั้นๆ หรือ นอกโรงพยาบาลก็ได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน และ สามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายของผู้ป่วยได้ 
สำหรับภาพรวมจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงโรงพยาบาลเอกชนเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันลดความแออัดในโรงพยาบาลของรัฐ 4 หน่วยงาน ที่ผลักดันให้ “โครงการสุขกาย สบายกระเป๋า” ได้ดำเนินการเป็นรูปธรรม คือ กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. และ สมาคมโรงพยาบาลเอกชน ที่ร่วมกันลงนามใน MOU ด้วยกัน ทั้งนี้ MOU ฉบับนี้ จะผลักดันให้เกิด ความร่วมมือกันในการแสดงรายละเอียด ในใบสั่งยา ของโรงพยาบาลเอกชนอย่างถูกต้องและครบถ้วน โดยต้องแสดงรายการยา และ ข้อบ่งใช้ยา รวมถึงราคายา เพื่อให้ผู้รับบริการมีข้อมูลในการตัดสินใจ ว่าจะซื้อยาในโรงพยาบาลเอกชน หรือจะนำใบสั่งยานี้ ไปซื้อยาด้วยตนเองในร้านขายยานอกโรงพยาบาล ในขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชน สมัครใจเข้าร่วมโครงการแล้วมากกว่า 300 แห่ง และ มีร้านขายยาจำนวนมากมากกว่า 3,400 แห่ง ทำการลงทะเบียนกับ อย. และมีสัญลักษณ์ โครงการ “สุขกายสะพาย สบายกระเป๋า” เตรียมพร้อมที่จะให้บริการกับพี่น้องประชาชนแล้ว นอกจากนี้ประชาชนยังสามารถรับบริการผ่านช่องทาง“เทเลฟามาซี” ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับสภาเภสัชกรรม นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า นโยบายนี้จะทำให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมทางด้านราคา และ มั่นใจได้ว่าตัวเองได้ซื้อยาจากร้านขายยาที่มีคุณภาพ มาตรฐาน คาดว่าจะช่วยลดค่าครองชีพของพี่น้องประชาชนได้ไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือว่าเยอะมาก สามารถนำเงินจำนวนขนาดนี้ ไปสร้างประโยชน์อื่นๆให้กับพี่น้องประชาชน และนำไปพัฒนาได้ได้หลายอย่างเลยทีเดียว รวมถึงยกระดับการบริการสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมีความโปร่งใส และมีความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น โอกาสนี้ขอเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ขอบคุณบุคลากรทางการแพทย์ เภสัชกร เจ้าหน้าที่ ทั้งภาคเอกชนและภาคราชการ โรงพยาบาลเอกชนร้านขายยาที่มีส่วนผลักดันและขับเคลื่อนโครงการนี้ เพื่อจุดมุ่งหมายให้พี่น้องประชาชนมีทางเลือกได้รับการบริการด้านการแพทย์การสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น และ มีค่าใช้จ่ายที่น้อยลง นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า โครงการนี้จะทำให้ระบบสาธารณสุขของประเทศไทย ที่เป็นระบบที่มีความเข้มแข็งมาโดยตลอด เป็นระดับต้นๆของโลก เข้าถึงคนไทยทุกคน แม้กระทั่งชาวต่างชาติที่พำนักอาศัย และทำมาหากินที่อยู่ในประเทศไทย เราสามารถที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา นักลงทุนให้ชาวต่างชาติที่มีความมั่นใจต่อประเทศไทย ได้มั่นใจเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับการพัฒนาระบบสุขภาพ และอุตสาหกรรมทางการแพทย์ให้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งด้วย “หากทำตอนที่ผมอยู่กระทรวงสาธารณสุข ผมก็ไม่ต้องลำบากขนาดนี้แล้ว ป่านนี้ก็ก็ยังเป็นรัฐมนตรีสาธารสุขอยู่ ไม่ต้องมาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย อย่างไรก็ตามก็มีความเชื่อมั่นว่า กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงพาณิชย์มีภารกิจอันหนักหน่วง ที่จะต้องทำให้คนไทยมีสุขภาพแข็งแรง ระบบสาธารณสุขมีความทั่วถึง และทำให้เศรษฐกิจ มีช่องทางการค้าการทำมาหากินของคนไทย มีโอกาสให้มากขึ้นที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถือว่า Win - Win ใน นโยบาย Quick Big Win ของรัฐบาลชุดนี้“นายอนุทิน กล่าว 
|