ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทำสถิติสูงสุดใหม่เป็นวันที่ 2 ติดต่อกันในวันจันทร์ (27 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 337.47 จุด หลังได้รับแรงหนุนจากความหวังต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงความเชื่อมั่นต่อรายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ที่มีกำหนดเผยแพร่ในสัปดาห์นี้ และการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนโยบายทางการเงินสัปดาห์นี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,544.59 จุด เพิ่มขึ้น 337.47 จุด หรือ 0.71% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,875.16 จุด เพิ่มขึ้น 83.47 จุด หรือ 1.23% และเป็นการปิดเหนือระดับ 6,800 จุดเป็นครั้งแรก ขณะที่ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,637.46 จุด เพิ่มขึ้น 432.59 จุด หรือ 1.86% ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน มีกำหนดพบกันในวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อหารือกรอบข้อตกลงที่จะชะลอการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ และการจำกัดการส่งออกแร่หายากของจีน ซึ่งช่วยลดความวิตกของตลาดต่อสงครามการค้า และส่งผลให้ดัชนี VIX ซึ่งเป็นมาตรวัดความกังวลของวอลล์สตรีทปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 1 เดือน ด้านสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ทั้ง 2 ประเทศได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในประเด็นการนำเข้าถั่วเหลืองของสหรัฐฯ และการส่งออกแร่หายากของจีน หลังเจรจานอกรอบการประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย ซึ่งช่วยหนุนความเชื่อมั่นของนักลงทุนว่า สหรัฐฯ และจีนอาจผ่อนคลายความตึงเครียดทางการค้าในระยะสั้น โดยสก็อตต์ เรน นักกลยุทธ์อาวุโสจาก Wells Fargo Investment Institute กล่าวว่า ถ้อยแถลงของเบสเซนต์และการพบปะของ 2 ผู้นำที่จะเกิดขึ้น ทำให้นักลงทุนกลับมามีความหวังอีกครั้งว่าความสัมพันธ์ทางการค้าจะดีขึ้น” ในสัปดาห์นี้ นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการของ 5 บริษัทในกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ได้แก่ Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon และ Meta ซึ่งจะเป็นบททดสอบสำคัญความแข็งแกร่งของตลาดหุ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากความคาดหวังต่อการเติบโตของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยสก็อตต์ เรน ยังระบุว่า “นักลงทุนต้องการมั่นใจได้ว่า การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน AI ของบริษัทเหล่านี้จะเริ่มเห็นผล” ข้อมูลเงินเฟ้อที่อ่อนตัวกว่าคาดในสัปดาห์ก่อน ทำให้นักลงทุนมั่นใจเกือบเต็ม 100% ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมวันพุธนี้ โดยต่างจับตาถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับการปรับลดดอกเบี้ยครั้งต่อไปในเดือนธ.ค. ขณะที่การปิดหน่วยงานรัฐบาลชั่วคราวยังทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจบางส่วนถูกเลื่อนเผยแพร่ 
ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่ามี 3 กลุ่มที่ปรับขึ้นแรง ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร ที่เพิ่มขึ้น 2.3% ซึ่งได้แรงหนุนจากหุ้น Alphabet ที่พุ่งขึ้น 3.6%, กลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 2% แตะระดับสูงสุดใหม่ พร้อมหนุนดัชนีหุ้นเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดลเฟียพุ่ง 2.7% นำโดยหุ้น Qualcomm พุ่งขึ้นถึง 11% หลังเปิดตัวชิป AI สำหรับศูนย์ข้อมูล 2 รุ่นใหม่ที่จะเริ่มจำหน่ายเชิงพาณิชย์ในปีหน้า ขณะที่ผู้นำตลาดชิป AI อย่าง Nvidia ปรับขึ้น 2.8% ด้านหุ้นในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้น 1.5% นำโดย Tesla ที่ดีดตัวขึ้น 4.3% จากมุมมองเชิงบวกต่อการเจรจาสหรัฐฯ–จีน อย่างไรก็ตาม คริสโตเฟอร์ บราวน์ รองประธานฝ่ายการลงทุนของ Synovus เตือนว่า การดีดตัวของหุ้น Tesla อาจอยู่ไม่นาน เนื่องจากราคาหุ้นยังคงแพงเกินจริง แม้จะมีข้อตกลงการค้าที่ดีที่สุดก็ตาม ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ปิดแดนลบ ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ที่ลดลง 0.27% และกลุ่มวัสดุพื้นฐานที่ลดลง 0.25% ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่หายากของสหรัฐฯ ร่วงแรง โดยหุ้น Critical Metals ร่วง 13.7%, NioCorp Developments ลดลง 11.5% และ Ramaco Resources ลดลง 2.6% หลังตลาดมีความหวังเพิ่มขึ้นต่อข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ–จีน ที่ช่วยลดความกังวลด้านอุปทาน ขณะเดียวกัน หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดสหรัฐฯ ต่างปรับเพิ่มขึ้นทั่วหน้า โดยหุ้น Alibaba, JD.com และ PDD Holdings เพิ่มขึ้นราว 2.7–3% ขณะที่ Baidu พุ่ง 4.8% ความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวอื่น ๆ พบว่าหุ้น Keurig Dr Pepper พุ่ง 7.6% หลังปรับเพิ่มประมาณการยอดขายทั้งปี และประกาศระดมทุนราว 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัทกาแฟยักษ์ใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ JDE Peet’s ส่วนหุ้น Lululemon เพิ่มขึ้น 1.8% หลังประกาศความร่วมมือกับลีกอเมริกันฟุตบอล NFL Janus Henderson พุ่งขึ้น 11.3% หลังยืนยันว่าได้รับข้อเสนอซื้อกิจการจากกลุ่ม Trian และ General Catalyst ด้านหุ้นอาร์เจนตินาที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ ทะยานขึ้นแรง หลังประธานาธิบดีฮาเวียร์ มิเลอี ชนะการเลือกตั้ง โดยหุ้นพลังงาน YPF พุ่ง 23.8%, Grupo Supervielle พุ่ง 48%, Banco Macro เพิ่มขึ้น 37.6%, Grupo Financiero Galicia เพิ่มขึ้น 38.7% และ Banco BBVA Argentina พุ่งกว่า 40.8% ที่มา Reuters 
|