ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันศุกร์ (31 ต.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 40.75 จุด หลังได้รับแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการและคาดการณ์รายได้ที่แข็งแกร่งของ Amazon ท่ามกลางถ้อยแถลงที่ระมัดระวังจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,562.87 จุด เพิ่มขึ้น 40.75 จุด หรือ 0.09% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,840.20 จุด เพิ่มขึ้น 17.86 จุด หรือ 0.26% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,724.96 จุด เพิ่มขึ้น 143.81 จุด หรือ 0.61% ในภาพรวมเดือนต.ค. ดัชนีดาวโจนส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.5% และเป็นการปิดในแดนบวกเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ม.ค. 2018 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ปิดเพิ่มขึ้น 2.27% เป็นการปรับขึ้นต่อเนื่อง 6 เดือนติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2021 ส่วนดัชนีแนสแดค เพิ่มขึ้น 4.7% ทำสถิติปรับขึ้นต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกัน เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นปี 2018 ขณะที่ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ ขยับขึ้น 0.75% ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.7% และดัชนีแนสแดค พุ่ง 2.24% หุ้น Amazon พุ่งขึ้นถึง 9.6% แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังบริษัทเผยคาดการณ์ยอดขายประจำไตรมาสสูงกว่าที่ตลาดคาดไว้ ช่วยหนุนหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยปรับขึ้น 4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายวันสูงสุดตั้งแต่ 12 พ.ค. Amazon คาดว่า ยอดขายสำหรับไตรมาสปัจจุบันจะอยู่ที่ระหว่าง 206,000 ล้าน – 213,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจุดกึ่งกลางของประมาณการรายได้อยู่ที่ 209,500 ล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่ LSEG ประเมินไว้ที่ 208,000 ล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ดี หุ้นยักษ์ใหญ่อื่น ๆ อย่าง Apple ปิดลบ 0.4% แม้คาดการณ์ยอดขาย iPhone ในไตรมาสสุดท้ายของปี จะดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่ถูกกดดันจากคำเตือนของซีอีโอ ทิม คุก เกี่ยวกับปัญหาซัพพลายตึงตัว 
ในฝั่งนโยบายการเงิน เจ้าหน้าที่เฟดหลายรายออกมาแสดงความคิดเห็นที่ระมัดระวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยราฟาเอล บอสติก ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา ระบุว่า “การลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ยังไม่ใช่สิ่งที่แน่นอน” ขณะที่ เบธ แฮมแมค ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์เผยว่า เธอไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเกินไป ข้อมูลจากเครื่องมือ FedWatch ของ CME Group ระบุว่า นักลงทุนให้น้ำหนักความเป็นไปได้ของการลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค. ที่ 65% ลดลงจาก 72.8% และ 91.7% ในสัปดาห์ก่อนหน้า ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 ที่รายงานงบไตรมาส 3 แล้ว 315 บริษัท มีมากถึง 83.2% ที่มีกำไรดีกว่าคาด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 67% ในกลุ่มค้าปลีกสินค้าอุปโภคบริโภค หุ้นซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่งปรับตัวร่วงลง จากความกังวลว่าการหยุดชะงักของงบประมาณรัฐบาลกลาง อาจส่งผลให้โครงการสวัสดิการอาหาร (SNAP) สำหรับผู้มีรายได้น้อยต้องหยุดชั่วคราว แม้ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลาง 2 ราย จะมีคำสั่งให้ฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต้องจ่ายเงินจากงบสำรองเพื่อรักษาการจ่ายสวัสดิการดังกล่าวต่อไป โดยหุ้น Kroger ลดลง 2.8% หุ้น Conagra Brands ร่วง 1.3% และ หุ้น Walmart ปิดลบ 1% ขณะที่หุ้นในกลุ่มสื่อและเทคโนโลยี พบว่าหุ้น Warner Bros Discovery พุ่งขึ้น 8.7% หลังมีรายงานว่า Netflix กำลังพิจารณาเข้าซื้อกิจการสตูดิโอและธุรกิจสตรีมมิงของบริษัท ขณะที่หุ้น Netflix เองเพิ่มขึ้น 2.7% หลังประกาศแผนแตกพาร์หุ้น 10 ต่อ 1 ด้านหุ้น Western Digital พุ่งขึ้น 8.7% ทำจุดสูงสุดใหม่ หลังคาดการณ์กำไรไตรมาสหน้าสูงกว่าที่ตลาดคาด ส่วนหุ้นผู้ผลิตแผงโซลาร์ First Solar ทะยานขึ้นถึง 14.3% หลังรายงานยอดขายไตรมาส 3 ดีกว่าที่คาดไว้ ที่มา Reuters และ CNBC 
|