ฟิทช์ เรทติ้งส์ (Fitch Ratings) สถาบันจัดอันดับเครดิต ออกคำเตือนว่า การขยายสินเชื่ออย่างรวดเร็วของธนาคารในเวียดนาม กำลังสร้างความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งอาจเพิ่มสูงขึ้นอีก ภายหลังรัฐบาลเตรียมยกเลิกระบบเพดานสินเชื่อที่ใช้มาอย่างยาวนาน วิลลี ตาโนโต (Willie Tanoto) ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายสถาบันการเงินเอเชีย-แปซิฟิกของฟิทช์ กล่าวว่า “นโยบายนี้จะเร่งการเติบโตของสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงอยู่แล้ว และจะทำให้ระดับการกู้ยืมโดยรวมในระบบการเงินจะสูงขึ้นไปอีก” พร้อมระบุว่าแม้ฟิทช์จะมีมุมมองเป็นกลางถึงเชิงบวก ต่อแนวโน้มของภาคธนาคารเวียดนาม แต่ตลอดช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา ตนเองมีความกังวลมากขึ้นกว่าที่ผ่านมาในรอบ 5 ปี นายฝ่าม มิงห์ จิ๋ง (Pham Minh Chinh) นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ธนาคารกลางเวียดนาม เร่งจัดทำแผนยกเลิกระบบเพดานการเติบโตสินเชื่อภายในปี 2026 เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 8% ในปีนี้ และเฉลี่ย 10% ต่อปีในช่วง 5 ปีข้างหน้า ข้อมูลจากธนาคารโลกชี้ว่า สินเชื่อในระบบเวียดนามขยายตัว 18.1% เมื่อเทียบรายปีในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ขณะที่ธนาคารกลางเวียดนามคาดว่า การขยายสินเชื่อรวมอาจแตะ 19%-20% ในปี 2025 ด้านฟิทช์คาดว่าจะอยู่ราว 18% แม้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายเพดานเครดิตก็ตาม การขยายตัวของสินเชื่ออย่างรวดเร็วนี้ มีส่วนผลักดันให้เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตโดดเด่น โดย GDP ไตรมาส 3 ปีนี้ขยายตัว 8.2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ตาโนโตเตือนว่า การเติบโตของสินเชื่อที่สูงกว่า GDP อย่างต่อเนื่องอาจทำให้ความหนาแน่นของสินเชื่อ เพิ่มขึ้นแตะระดับ 145% ของ GDP ภายในสิ้นเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับที่สูงผิดปกติสำหรับประเทศที่อยู่ในขั้นพัฒนาเช่นเวียดนาม และรายได้ต่อหัวในระดับปัจจุบัน อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า แม้ความเสี่ยงอาจยังไม่ปรากฏในระยะสั้น แต่ระดับหนี้ที่สูงเช่นนี้จะเพิ่มความเปราะบางให้กับระบบการเงิน อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังมีจุดแข็งในหลายด้าน ได้แก่ แนวโน้มการเติบโตระยะกลางที่แข็งแกร่ง หนี้ภาครัฐในระดับต่ำกว่าเมื่อเทียบกับประเทศที่มีอันดับเครดิตใกล้เคียง และโครงสร้างหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในเกณฑ์ดี 
ธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam) ระบุก่อนหน้านี้ว่าจะควบคุมสินเชื่อในภาคที่มีความเสี่ยงสูง โดยได้สั่งให้สถาบันการเงินมุ่งปล่อยสินเชื่อไปยังภาคการผลิต ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันก็ขยายสินเชื่อเพื่อการบริโภคและจำกัดการปล่อยกู้ในภาคที่มีความเสี่ยงเก็งกำไรสูง โดยคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารยังคงทรงตัว อัตราสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ 27 แห่งหลัก เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ตามรายงานของธนาคารโลกเมื่อเดือนก.ย. ซึ่งเตือนว่า “ความเสี่ยงพื้นฐานยังคงอยู่ เนื่องจากมาตรการผ่อนปรนการชำระหนี้ การปรับโครงสร้างสินเชื่อ และการกันสำรองหนี้สูญที่ลดลง” ทั้งนี้ ฟิทช์ยังชี้ว่า ธนาคารเวียดนามมีจุดอ่อนเชิงโครงสร้าง 2 ประการ ได้แก่ ความต้องการรับความเสี่ยงสูงและเงินกองทุนรองรับ (Capital Buffer) ที่เบาบาง แม้ธนาคารส่วนใหญ่ยังทำกำไรได้ดี แต่รายได้ส่วนใหญ่ถูกนำกลับไปใช้ขยายสินทรัพย์อย่างรวดเร็ว ทำให้เหลือพื้นที่จำกัดในการเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินทุน ขณะเดียวกัน การกันสำรองหนี้สูญมักทำเพียงขั้นต่ำตามข้อกำหนด และ “ความสามารถในการดูดซับความเสียหายจากสินเชื่อยังตามหลังประเทศในภูมิภาค” อย่างไรก็ตาม การชะลอการปล่อยสินเชื่อยังไม่ปรากฏในระยะสั้น นายฝ่าม มิงห์ จิ๋ง นายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เวียดนามจำเป็นต้องรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 8.4% ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขยายตัวมากกว่า 8% ตลอดทั้งปี 2025 ที่มา Bloomberg 
|