ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงอย่างหนักในวันอังคาร (4 พ.ย.) โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดลดลง 251.44 จุด หลังผู้บริหารธนาคารรายใหญ่เตือนว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ช่วงปรับฐาน ซึ่งสะท้อนถึงความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นต่อมูลค่าหุ้นที่สูงลิ่ว โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วยกระแสปัญญาประดิษฐ์ (AI) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,085.24 จุด ลดลง 251.44 จุด หรือ 0.53% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,771.55 จุด ลดลง 80.42 จุด หรือ 1.17% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,348.64 จุด ลดลง 486.09 จุด หรือ 2.04% ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงทั่วกระดาน หลังซีอีโอของ Morgan Stanley และ Goldman Sachs แสดงความคิดเห็นว่า ตลาดอาจเกิดภาวะฟองสบู่ โดยเฉพาะหลังจากดัชนี S&P 500 พุ่งทำสถิติสูงสุดใหม่หลายครั้งจากแรงหนุนของหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี AI ดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดค ปรับลดลงแรงที่สุดในรอบกว่า 3 สัปดาห์ นับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. หลังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นผู้นำตลาดในการปรับตัวร่วงลง โดยหุ้น 6 ใน 7 ตัวของกลุ่ม 7 นางฟ้า (Magnificent Seven) ปิดลบทั้งหมด ส่งผลให้ดัชนี Philadelphia Semiconductor Index (SOX) ดิ่งลงถึง 4% 
ก่อนหน้านี้ เจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ซีอีโอของ JPMorgan Chase ได้เตือนเมื่อเดือนที่แล้วว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการปรับฐานใหญ่ภายใน 6 เดือน - 2 ปีข้างหน้า โดยอ้างถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ด้านชัค คาร์ลสัน (Chuck Carlson) ซีอีโอของ Horizon Investment Services กล่าวว่า “นักลงทุนเริ่มกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นมากกว่าช่วงก่อน มูลค่าหุ้นของหลายบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินจริง แม้ผลประกอบการจะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ไม่ถึงกับโดดเด่น ซึ่งถือเป็นสูตรของการขายทำกำไร” โดยดัชนี S&P 500 ยังคงซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E Ratio) สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตอย่างมาก นอกจากนี้ วิกฤติการเมืองในสหรัฐฯ ยังเพิ่มแรงกดดันต่อตลาด หลังสภาคองเกรสยังไม่สามารถหาข้อยุติเพื่อผ่านร่างงบประมาณชั่วคราว ทำให้หน่วยงานของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ยังต้องปิดทำการบางส่วน และกำลังจะทำลายสถิติการปิดหน่วยงานยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ส่งผลให้ข้อมูลเศรษฐกิจภาครัฐขาดช่วง นักลงทุนจึงต้องจับตารายงานการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ที่จะเผยแพร่ในวันพุธแทน นอกจากนี้ นักลงทุนยังติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เพื่อหาสัญญาณทิศทางนโยบายการเงินในภาวะที่ขาดข้อมูลสำคัญ รวมถึงผลการเลือกตั้งท้องถิ่นในนครนิวยอร์ก รัฐนิวเจอร์ซีย์ และรัฐเวอร์จิเนีย ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่ม ที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวร่วงหนักที่สุด โดยลดลงเฉลี่ย 2.3% ขณะที่หุ้นกลุ่มการเงินปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ด้านความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น Palantir Technologies ร่วง 8% แม้จะคาดการณ์รายได้ไตรมาส 4 สูงกว่าที่ตลาดคาดก็ตาม ขณะที่หุ้น Uber ร่วง 5.1% หลังกำไรไตรมาสล่าสุดต่ำกว่าคาดการณ์ ส่วนหุ้น Henry Schein พุ่งขึ้น 10.8% หลังปรับเพิ่มประมาณการกำไรทั้งปี ด้านหุ้นเทคโนโลยีรายอื่น ๆ เช่น Spotify และ Shopify ในตลาดสหรัฐฯ ร่วงลง 2.3% และ 6.9% ตามลำดับ หลังประกาศผลประกอบการรายไตรมาสที่น่าผิดหวัง ที่มา Reuters 
|