ASPS ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยปี 69 อยู่ที่ 1,440 จุด - EPS 90 บาท/หุ้น -PE 16 เท่า พร้อมคัดหุ้นกลุ่มไอซีที-แบงก์-สื่อโฆษณาเด่น ส่วน Q4/68 แนะ 7 หุ้นรับกระแส Fund Flow ฟากตราสารหนี้ จับจังหวะกลุ่มอายุกลางในช่วงตลาดปรับฐาน ในอุตสาหกรรม อาหาร -การแพทย์ -เกษตร นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์เอเซีย พลัส จำกัด หรือ ASPS เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัย ASPS ประเมิน SET ปี 2569 ไว้ที่ 1,440 จุด (EPS 90 บาท/หุ้น , P/E 16 เท่า) โดยเน้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มี Valution ถูก และ หุ้นที่มีการจ่ายปันผล ซึ่งกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจ คือ กลุ่มไอซีที และ กลุ่มแบงก์ และ สื่อโฆษณา เนื่องจากปี 2569 จะมีการเลือกตั้ง โดยจะส่งผลดีต่อสื่อโฆษณานอกบ้าน "ปี 69 เน้น selective ทั้ง Valution ถูกๆ และ ปันผล ซึ่งปีหน้าคาดเดากระแสล่วงหน้าได้ยาก เพราะหุ้นมีการหมุนเวียนที่เร็วมาก"นายเทิดศักดิ์ กล่าว สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในครึ่งปีแรก 2569 นั้น คาดจะทรงตัว เนื่องจากรัฐบาลยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ แต่หากผ่านการเลือกตั้ง และ จัดตั้งรัฐบาลได้แล้วก็จะอยู่ในช่วงครึ่งหลังปี 2569 โดยจะเห็นภาพ และ การกระตุ้นเศรษฐกิจได้มากกว่านี้ ทางด้านไตรมาส 4/68 แม้เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยยังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่อง โดยข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (2015–2024) จีดีพีโลกเติบโตเฉลี่ยเพียง 2.8% ต่ำกว่าทศวรรษก่อนหน้า แต่ยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) ขณะเดียวกัน IMF ได้ปรับคาดการณ์ GDP ของหลายประเทศขึ้นเล็กน้อยจากผลของนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายและ การตอบโต้ภาษีที่เบากว่าคาด ส่วนนโยบายการเงิน ธนาคารกลางหลักทั่วโลกเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 2025 ขณะที่ Fed ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ และ อีก 1 ครั้งในปี 2026 ส่งผลให้ส่วนต่าง Bond Yield ไทย–สหรัฐฯ แคบลง หนุนให้เงินบาทแข็งค่า และอาจกระตุ้นให้เกิด Fund Flow ไหลกลับเข้าตลาดหุ้นไทยบางส่วน โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลง ในขณะที่ตลาดทุนคาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 1.06 ล้านล้านบาท (EPS เฉลี่ย 86 บาทต่อหุ้น) โดยครึ่งปีแรกทำได้แล้ว 5.9 แสนล้านบาท ซึ่งมีโอกาสสอดคล้องกับเป้าหมาย ขณะที่ตลาดทุนทั่วโลกยังคงขับเคลื่อนด้วยสภาพคล่องล้นระบบ (Liquidity Driven Rally) เงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง และ ทองคำมากเป็นพิเศษในเดือนกันยายน โดยมีเม็ดเงินไหลเข้า ETF รวมกว่า 2.4 แสนล้านดอลลาร์ และ เฉพาะกองทุนทองคำกว่า 1.9 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติการณ์ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นไทยที่ต่างชาติเริ่มสลับมาซื้อสุทธิมากขึ้นในช่วงต้นไตรมาส 4/68 อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นโลกเริ่มมีมูลค่าค่อนข้างแพง (Valuation ตึงตัว) โดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่มีระดับการใช้ Margin สูงสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนแรงเก็งกำไรสูง อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นโลก และไทยอาจผันผวนแรงในบางจังหวะเวลาที่มีประเด็นลบเข้ามา ฝ่ายวิจัย ASPS ยังคงเป้าหมาย SET ปีนี้ที่ 1,376 จุด (EPS 89 บาท/หุ้น, P/E 16 เท่า อิง MEYG +1.5 SD) กลยุทธ์แนะนำสะสมหุ้น 5 ธีม คือ หุ้น China Play รับการกระตุ้นเศรษฐกิจจีน SCGP, IVL , หุ้น Tariff Play WHA , หุ้นรับการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย CPAXT , หุ้นได้ประโยชน์บาทแข็งค่า GULF, BPP (เก็งกำไรมีโอกาสเข้า SET100 รอบ 1H69) และ เก็งกำไรหุ้นประกันได้ประโยชน์ Bond Yield ดีด BLA 
ส่วนภาพรวมตลาดโลกมีสัญญาณร้อนแรงเกินจริง สะท้อนจากตลาดหุ้นหลายประเทศ รวมถึงราคาทองคำทำจุดสูงสุดใหม่ในปีนี้ และ เริ่มมีความกังวล AI Bubble อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ แต่ยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ออกมาดีกว่าคาด และสภาพคล่องที่ล้นระบบ ส่วนตลาดหุ้นจีนยังมีสัญญาณเศรษฐกิจจริงที่อ่อนแรง ต้องการมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม แต่ภาค Data Center ของจีนยังเติบโตต่อเนื่อง นำโดย Alibaba นอกจากนี้ ยังมีข่าวดีจาก ตลาดหุ้นเวียดนาม ที่ถูกประกาศเข้าสู่ดัชนี FTSE Emerging Market เมื่อ 7 ต.ค.68 ซึ่งจะมีผลจริงใน ก.ย.69 คาดว่าจะดึงดูดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าได้ราว 5 พันล้านเหรียญฯ พร้อมกับ EPS ของ VN Index ปรับขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ค่า P/E ปี 2025 ยังอยู่ในระดับต่ำ (10.7 เท่า) ทางด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Bond Yield) ที่อยู่ต่ำกว่า 2.50% ยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก แต่ต้องระมัดระวังการกลับตัว”ของตลาด เนื่องจากสัญญาณการลงทุนในตราสารหนี้ไทยเริ่มชะลอ นักลงทุนหันมาซื้อแบบ “Selective Buy” มากขึ้น จากความกังวลต่อคุณภาพผู้ออกหุ้นกู้และการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 68 มีผู้ออกตราสารหนี้ผิดนัดชำระแล้ว 6 ราย และ ขอเลื่อนชำระอีก 12 ราย รวม 16 ราย ส่งผลให้ความต้องการลงทุนเน้นหุ้นกู้ที่มีอันดับเครดิตตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป และ อายุไม่เกิน 1 ปี ขณะเดียวกัน หุ้นกู้ไม่มีวันครบกำหนด (Perpetual Bonds) ของบริษัทที่มีชื่อเสียงและอายุคงเหลือไม่เกิน 3 ปี ยังคงเป็นที่ต้องการ หากให้ผลตอบแทนมากกว่า 3.50% ส่วนตราสารหนี้ที่ออกใหม่ในตลาดแรก ควรมีผลตอบแทนไม่ต่ำกว่า 4.50–5.00% เพื่อดึงดูดนักลงทุน ณ สิ้นไตรมาส 3/68 มูลค่าตลาดตราสารหนี้ไทยรวมอยู่ที่ 17.7 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.5% จากปีก่อน โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรภาครัฐ ขณะที่หุ้นกู้ภาคเอกชนระยะยาวลดลง 9.1% เหลือมูลค่าการออก 640,002 ล้านบาท ทั้งกลุ่ม Investment Grade (-8.8%) และ High Yield (-13.5%) กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าคงค้างสูงสุดยังคงเป็น พลังงาน , การเงิน , อสังหาริมทรัพย์ , พาณิชย์ และ อาหารและเครื่องดื่ม (แทน ICT ที่หล่นจากอันดับ 5) รวมกันคิดเป็น 61% ของตลาด ขณะที่หุ้นกู้กลุ่มอันดับเครดิต A ยังมีสัดส่วนสูงสุด และกว่า 94% ของตลาดยังคงเป็น Investment Grade ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 4/68 ถึงไตรมาส 1/69 ตลาดตราสารหนี้จะแกว่งตัวแบบฟันปลา มีจังหวะขึ้นลงสลับกัน โดยปัจจัยสำคัญคือแนวโน้มการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยจาก 1.50% เหลือ 1.25% ในเดือนธันวาคม และ อาจลดต่อถึง 1.00% ในปีหน้า หากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นเต็มที่ ซึ่งเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยช่วงต้นเดือนตุลาคมเริ่มมีการดีดตัวขึ้น หลังทำจุดต่ำสุดที่ 1.15% ขยับมาที่ 1.22% โดยพันธบัตรอายุยาว 46 ปี (LB726A) เคยแตะต่ำสุด 2.025% ก่อนรีบาวด์ขึ้นสู่ 2.40–2.45% ซึ่ง ASPS ประเมินว่า การปรับขึ้นรอบนี้ไม่น่าทะลุ 2.50% เพราะตลาดเริ่มคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของแบงก์ชาติไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่แนะนำสำหรับการลงทุนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ คือ “จับจังหวะ” ซื้อตราสารหนี้อายุกลางในช่วงตลาดปรับฐาน เพื่อทำกำไรระยะสั้น โดยหากลงทุนเพื่อเทรด ควรเลือกพันธบัตรรัฐบาลที่เป็น Benchmark (On-the-run) ส่วนผู้ที่ถือยาว (Buy and Hold) ให้เน้น Perpetual Bonds หรือหุ้นกู้ที่มีเครดิตไม่ต่ำกว่า BBB อายุไม่เกิน 1-2 ปี โดยเฉพาะในกลุ่ม อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ และเกษตร ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิต 
|