KTB เผยปี 69 เน้นยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ตั้งแต่ยึดโยง Public Ecosystem สร้าง New Growth Engine เจาะลูกค้าใหม่ ยกระดับประสบการณ์บริการ ลงทุนต่อเนื่องใน Tech-Data ขับเคลื่อนองค์กรสู่ New Gen และรักษา ROE ไม่ต่ำกว่า 10% ชูมาร์เก็ตแคปเพิ่มจาก 1.55 แสนลบ. เป็นราว 3.8 แสนลบ. ใน 4–5 ปี นายธวัชชัย ชีวานนท์ ประธานผู้บริหาร Product & Business Solutions ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB เปิดเผยว่า ยุทธศาสตร์หลักในปี 2569 คือ ยุทธศาสตร์ 5 ด้าน ประกอบด้วย 1.การยึดโยงกับภาครัฐ และ Public Ecosystem ใช้จุดแข็งด้านความสัมพันธ์และ โครงสร้างเชื่อมต่อกับหน่วยงานรัฐ มาต่อยอดสู่ธุรกิจ Corporate , SME และ Retail 2.สร้าง New Growth Engine ในการมองหาเซ็กเมนต์ลูกค้าใหม่ ๆ เช่น กลุ่มที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงิน และ กลุ่ม Wealth ที่ต้องการ Investment product ที่ซับซ้อนขึ้นตลอดจนการเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการลูกค้า Corporate และ SME ซึ่งกรุงไทยเองต้องเป็นหนึ่งในธนาคารที่ลูกค้ามองว่า ให้โซลูชั่นครบเช่นกัน 3.ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) และ ออกแบบบริการใหม่ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น 
4.ลงทุนต่อเนื่องในด้าน Tech และ Dataโดยในช่วง 9–10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารได้ลงทุนเรื่องโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีและข้อมูลมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งที่ต้องทำต่อ คือเรื่องการใช้ Data ในเชิงลึก และ การนำ AI มาใช้ช่วยตัดสินใจทางธุรกิจ 5.ปรับวัฒนธรรมองค์กรสู่ New Gen & Open Culture เปลี่ยนจากภาพธนาคารกึ่งภาครัฐแบบเดิมให้กลายเป็นองค์กรที่เปิดกว้าง คล่องตัว และ มี DNA แบบผู้ประกอบการมากขึ้น "การดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ยังคงมีความท้าทาย โดยหากดูตัวเลขจีดีพีไทยในช่วงที่ผ่านมา จะเห็นภาพตรงกันว่า จีดีพีโตต่ำต่อเนื่อง และ มีแนวโน้มในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็ยังอยู่ในระดับ 1–2% และ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย หรือ แม้แต่กลุ่มประเทศในเอเชียกลางจะเห็นว่า ประเทศเหล่านั้นมีศักยภาพการเติบโตสูงกว่ามาก"นายธวัชชัย กล่าว นอกจากนี้ ในปัจจุบันมูลค่าหุ้นของธนาคารพาณิชย์ และ ราคาตลาด เมื่อเทียบกับมูลค่าทางบัญชี (P/BV) เทียบกับอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น(ROE) ของธนาคารไทยยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับธนาคารระดับภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นในมาเลเซีย สิงคโปร์ หรือ อินโดนีเซีย สวนทางกับการเติบโตของกำไร แต่ตลาดกลับไม่ให้ Valuation สูง ทำให้ธนาคารไทยหลายแห่ง P/BV ยังคงต่ำกว่า 1 เท่า โดยในแง่ของ P/E ก็เช่นกัน แม้กำไรเติบโต แต่ราคาหุ้นไม่ค่อยไปไหน หุ้นไทยจึงถูกมองว่า ถูกเกินไป ในส่วนของกรุงไทยก็เช่นกันมี P/E อยู่ประมาณ 7 เท่า เมื่อนำไปเทียบกับธนาคารในสิงคโปร์ หรือ อินโดนีเซีย เช่น BCA (Bank Central Asia) ที่มี P/E ราว 13–14 เท่า ก็จะยิ่งเห็นความแตกต่างด้าน Valuation ชัดเจน ทั้งนี้ ธนาคารกรุงไทยตั้งเป้า ROE ต้องเติบโตมากกว่า 10% ตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป แม้ว่าปัจจุบันจะอยู่ที่ 12.80% เนื่องจากต้องการให้ผู้ถือหุ้นเห็นมูลค่า หรือ Value ของธนาคารสะท้อนออกมาที่ราคาหุ้นมากขึ้น ทั้งในแง่ของ Price to Book และ มูลค่าตลาดโดยรวม นายสุริพงษ์ ตันติยานนท์ ประธานผู้บริหาร Retail Banking KTB เปิดเผยว่า ด้านผลตอบแทนทางการเงินของธนาคารกรุงไทยหากเทียบตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ผู้ถือหุ้นที่ลงทุนในกรุงไทยตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันได้รับผลตอบแทนที่โดดเด่น ทั้งจากมูลค่าบริษัทที่เพิ่มขึ้น และ เงินปันผลที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ โดยมาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้นราว 3 เท่าเมื่อเทียบกับ 4–5 ปีก่อน สำหรับผลงานด้านการเงินที่แข็งแกร่งนี้ส่งผลให้นักลงทุนสถาบันทั่วโลกมีความเชื่อมั่นในกรุงไทยมากขึ้น สะท้อนผ่านการปรับเพิ่มอันดับเครดิตจากสถาบันจัดอันดับชั้นนำ ไม่ว่าจะเป็น Moody’s , S&P หรือ Fitch Ratings ซึ่งต่างให้เครดิตกรุงไทยดีขึ้นตามลำดับในช่วงที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรสุทธิ ปัจจุบันกรุงไทยยังอยู่ในกลุ่ม Top 3 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ หากเทียบกับเมื่อ 4–5 ปีก่อนที่ยังอยู่ในกลุ่ม Top 3–4 เช่นกัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ ช่องว่างระหว่างกรุงไทยกับธนาคารอันดับหนึ่งลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยในปี 2563 กำไรสุทธิของกรุงไทยอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารอันดับหนึ่งมีกำไร 30,000 ล้านบาท เมื่อปี 2567 กำไรสุทธิของกรุงไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 44,000 ล้านบาท ทำให้ช่องว่างของการทำกำไรลดลงอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ทั้งนักลงทุน และ สถาบันจัดอันดับมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น และ สะท้อนกลับไปยังเรตติ้งต่าง ๆ ที่ดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับ ธุรกิจธนาคารที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ คุณภาพสินทรัพย์ โดยเฉพาะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หากดูตัวเลขทางการ เมื่อปี 2563 กรุงไทยมี NPL อยู่ที่ 3.8% และ ล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 2.9% ขณะที่มาร์เก็ตแคปปี 2563 อยู่ที่ประมาณ 155,500 ล้านบาท ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราว 380,000 ล้านบาท หมายความว่ามูลค่าของธนาคารเพิ่มขึ้นกว่า 200,000 ล้านบาทในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าทุนของผู้ถือหุ้นที่เติบโตขึ้น ซึ่งกระทรวงการคลังถือหุ้นกรุงไทยอยู่ประมาณ 55% จึงได้รับประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าตลาดส่วนนี้คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นราว 124,000 ล้านบาท นอกเหนือจากกำไรจากมูลค่าหุ้นแล้ว ยังมีรายได้ที่ภาครัฐได้รับจากกรุงไทยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาษีที่ธนาคารต้องชำระในฐานะธนาคารพาณิชย์ ค่าธรรมเนียมกองทุน และ เงินปันผลที่จ่ายกลับให้ผู้ถือหุ้นภาครัฐเมื่อนำทั้ง 3 ส่วนมารวมกันทั้งมูลค่าหุ้นของภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ภาษี และเงินปันผลส่งผลให้ธนาคารกรุงไทยได้ ส่งคืนเงินให้ประเทศในช่วง 4–5 ปีที่ผ่านมา รวมกันราว 122,000 ล้านบาท "ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กรุงไทยไม่ได้เติบโตเพียงตัวเลขผลประกอบการ แต่ยังยกระดับคุณภาพสินทรัพย์ มาตรฐานการกำกับดูแล การคุ้มครองผู้บริโภค ความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ และ ยังส่งมูลค่ากลับคืนสู่ภาครัฐ และเศรษฐกิจไทยในสเกลที่มีนัยสำคัญด้วย"นายสุริพงษ์ กล่าว 
|