ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีรายได้หลักจากแหล่งน้ำมัน คอยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความมั่งคั่งมหาศาลมายาวนาน กำลังกระจายความหลากหลายรายได้หลักไปสู่ภาคส่วนอื่น ๆ อาทิ ปัญญาประดิษฐ์ (AI), การท่องเที่ยว และกีฬา นายคาหลิด อัล ฟาลิห์ (Khalid Abdulaziz Al-Falih) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการลงทุนแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNBC ว่า ปัจจุบันเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียมากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 50.6% ไม่ได้พึ่งพาน้ำมันแล้ว ซึ่งตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มขึ้น โดยรายได้ของรัฐบาลในอดีตเกือบทั้งหมดมาจากน้ำมัน แต่ปัจจุบันนี้ 40% มาจากภาคส่วนอื่น ๆ และจากแหล่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเลย รมว.การลงทุนของซาอุดีอาระเบียยังเผยว่า "เราเห็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่ยังไม่พอแค่นี้ เราต้องการทำมากกว่านี้ เราต้องการเร่งการกระจายความเสี่ยงและเรื่องราวการเติบโตของราชอาณาจักรให้เร็วขึ้น" ซาอุดีอาระเบียกำลังทุ่มเงินไปกับภาคส่วนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น AI และกำหนดให้เป็นภาคส่วนใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยอัล ฟาลิห์ ระบุว่า ซาอุดีอาระเบียจะเป็นนักลงทุนหลักในการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI และแบบจำลองภาษาขนาดใหญ่ รวมไปถึงการสร้างศูนย์ข้อมูลในขนาดและต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้ ซึ่งไม่เคยมีที่ใดมาก่อน" นอกจากนี้ ยังกล่าวว่า AI ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่า จะเป็นตัวกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในอนาคตของทุกประเทศ ผู้ที่ลงทุนจะก้าวไปเป็นผู้นำ และผู้ที่ตามไม่ทันจะเป็นผู้แพ้ โจนาธาน รอสส์ (Jonathan Ross) ซีอีโอของ Groq บริษัทชิป AI กล่าวกับ CNBC ว่า ซาอุดีอาระเบียเป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เนื่องจากมีพลังงานส่วนเกินจากความต้องการใช้งาน ข้อมูลของ PwC คาดว่า เทคโนโลยี AI จะช่วยให้ประเทศนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 135,000 ล้านดอลลาร์ ภายในปี 2030 รายงานผลการดำเนินงานด้านงบประมาณประจำไตรมาสของซาอุดีอาระเบียเผยว่า รายได้รวมของรัฐบาลในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 อยู่ที่ 565,210 ล้านริยาลซาอุดีอาระเบีย (150,730 ล้านดอลลาร์) โดยมีรายได้จากน้ำมันคิดเป็น 53.4% ของรายได้รวมของประเทศ ซึ่งลดลงจาก 67.97% ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 
ในปี 2024 ซาอุดีอาระเบียเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้น 1.3% โดยมีเครื่องยนต์หลักมาจากการเติบโตในภาคส่วนที่ไม่ใช่น้ำมัน อยู่ที่ 4.3% ขณะที่กิจกรรมด้านน้ำมันลดลง 4.5% เมื่อเทียบรายปี โดยกองทุนเพื่อการลงทุนสาธารณะ (Public Investment Fund - PIF) ซึ่งเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบียได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่, ผู้จัดจำหน่ายวิดีโอเกม และสโมสรฟุตบอล เพื่อนำรายได้จากน้ำมันไปกระจายการลงทุนในภาคส่วนอื่น ๆ โดยได้เข้าซื้อหุ้นใน Electronic Arts (EA) ซึ่งเป็นบริษัทวิดีโอเกมรายใหญ่ และร่วมกันก่อตั้ง SoftBank Vision Fund ร่วมกับ SoftBank Group Corp ของมาซาโยชิ ซัน (Masayoshi Son) ในปี 2017 และเข้าซื้อกิจการสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดของอังกฤษ เมื่อปี 2021 เมื่อถามว่า ราคาน้ำมันที่ลดลงสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจและรายได้ของรัฐบาลซาอุดีอาระเบียหรือไม่ อัล ฟาลิห์กล่าวว่า ไม่ได้ลดขนาดงบประมาณและไม่มีการตัดลดการใช้จ่ายสาธารณะใด ๆ ทั้งนี้ ข้อมูลของ FactSet ระบุว่า ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงในปีนี้ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดสปอตลดลงไปแล้ว 13.4% ขณะที่รายได้จากน้ำมันของซาอุดีอาระเบียลดลง 24% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ รัฐบาลจะยังเดินหน้ากิจกรรมทั้งหมดที่ต้องอาศัยการใช้จ่ายของรัฐบาลต่อไป โดยกองทุน PIF เติบโตขึ้นถึงหกเท่าตั้งแต่ก่อตั้ง และมีการใช้เงินทุนเกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์ในภาคส่วนที่เป็นเป้าหมายระยะยาว โดยการท่องเที่ยวยังคงเป็นภาคส่วนสำคัญที่มีการเติบโต ซึ่งสัดส่วนของ GDP ในภาคส่วนนี้ เติบโตจาก 3% ในปี 2019 เป็น 5% ในปี 2024 ที่มา CNBC 
|