*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 60.56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 49 เซนต์ หรือ 0.8% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ (Brent) ปิดที่ 64.44 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 45 เซนต์ หรือ 0.7% ราคาน้ำมันดิบโลกปิดลดลงในวันอังคาร (4 พ.ย.) หลังตัวเลขภาคการผลิตอ่อนแอและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น กดดันความต้องการใช้พลังงาน ขณะที่การตัดสินใจของกลุ่มผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร (OPEC+) ที่จะชะลอการเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาสแรกปีหน้า สะท้อนความกังวลของกลุ่มต่อภาวะอุปทานส่วนเกินในตลาด *** ปริมาณการผลิตน้ำมันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) ปรับเพิ่มขึ้นอีกในเดือนต.ค. หลังจากที่กลุ่ม OPEC+ มีข้อตกลงให้เพิ่มกำลังการผลิต แต่ความเร็วของการเพิ่มกำลังการผลิตลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับเดือนก.ย. และช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยผลสำรวจระบุว่า OPEC ผลิตน้ำมันเฉลี่ย 28.43 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) ในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้นราว 30,000 บาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อนหน้า โดยซาอุดีอาระเบียและอิรักเป็นประเทศที่เพิ่มกำลังการผลิตมากที่สุด อย่างไรก็ดี ผลสำรวจพบว่าการเพิ่มการผลิตจริงของทั้ง 5 ประเทศอยู่ที่ 114,000 บาร์เรลต่อวัน แต่การลดลงของการผลิตในไนจีเรีย ลิเบีย และเวเนซุเอลา ได้หักล้างส่วนเพิ่มดังกล่าว ทำให้ปริมาณการผลิตรวมของ OPEC ปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยในภาพรวม *** ซาอุดี อารามโค (Saudi Aramco) บริษัทผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่ากำไรสุทธิลดลง 2.3% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากราคาน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ที่ปรับตัวลดลง แม้ผลการดำเนินงานจะดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าตามการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน ซาอุดี อารามโค ระบุว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 26,940 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว 19% จากไตรมาส 2 เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการผลิตและราคาขายของน้ำมันดิบ รวมถึงผลิตภัณฑ์กลั่นและเคมีภัณฑ์ที่สูงขึ้น *** บรรดาผู้บริหารระดับสูงในวอลล์สตรีทออกมาเตือนว่า นักลงทุนควรเตรียมพร้อมรับความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญการปรับฐานมากกว่า 10% ภายในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้า พร้อมระบุว่า การปรับฐานดังกล่าวอาจเป็นพัฒนาการที่ดีต่อสุขภาพของตลาด โดยไมค์ กิตลิน (Mike Gitlin) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Capital Group ซึ่งบริหารสินทรัพย์มูลค่าราว 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ กล่าวว่า “ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนยังคงแข็งแกร่ง แต่สิ่งที่ท้าทายคือระดับมูลค่าหุ้น (valuation) ที่สูงมาก” *** ไมเคิล เบอร์รี (Michael Burry) ผู้จัดการกองทุนชื่อดังแห่ง Scion Asset Management และผู้โด่งดังจากการทำนายวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 เปิดเผยว่าได้เปิดสถานะ Put Options ต่อหุ้น Nvidia และ Palantir ซึ่งเป็นตราสารที่ให้ผลกำไรเมื่อราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยเบอร์รี โพสต์ข้อความเตือนถึงนักลงทุนรายย่อยบนสื่อสังคมออนไลน์ ให้ระวังความร้อนแรงเกินจริงของตลาด ซึ่งหลายฝ่ายตีความว่าเป็นสัญญาณเตือนถึงความเสี่ยงของฟองสบู่ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านนักลงทุนมองว่าการเคลื่อนไหวของเบอร์รี ซึ่งเป็นหนึ่งในนักลงทุนที่เคยทำนายวิกฤตการเงินได้อย่างแม่นยำ อาจสะท้อนมุมมองเชิงลบต่อหุ้นเทคโนโลยีที่ได้รับแรงหนุนจากกระแส AI และกำลังซื้อขายที่ระดับมูลค่าสูงกว่าปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ *** วิกฤติการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ (Government Shutdown) ยืดเยื้อเข้าสู่วันที่ 36 ในวันพุธนี้ (5 พ.ย.) ทำให้กลายเป็นการปิดหน่วยงานภาครัฐที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศ แซงหน้าสถิติเดิมที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2019 โดยความพยายามล่าสุดของสภาคองเกรสในการปลดล็อกงบประมาณชั่วคราวผ่านร่างกฎหมายของพรรครีพับลิกัน ประสบความล้มเหลวอีกครั้ง โดยวุฒิสภาปฏิเสธร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นครั้งที่ 14 ติดต่อกัน ทั้งนี้ ภาวะชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ ล้วนเกิดขึ้นในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าเกี่ยวกับสารเฟนทานิลจากจีนลงครึ่งหนึ่ง และขยายเวลาการหยุดเก็บภาษีตอบโต้ต่อสินค้าจีนบางรายการต่อไปอีก 1 ปี ถือเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการของข้อตกลงการค้าครั้งใหญ่ที่บรรลุร่วมกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง โดยคำสั่งดังกล่าวออกมาในรูปของคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Orders) 2 ฉบับเมื่อวันอังคาร (4 พ.ย.) และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. การลดอัตราภาษีครั้งนี้ถือเป็นการผ่อนปรนเชิงนโยบายครั้งสำคัญต่อจีน และเป็นส่วนหนึ่งของกรอบความตกลงทางการค้าฉบับใหม่ระหว่างทรัมป์และสี จิ้นผิง ซึ่งมุ่งคลายข้อจำกัดทางการค้าและยุติการตอบโต้ด้านภาษีที่ทวีความรุนแรงในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา 
*** ธนาคารกลางจีน (PBOC) ดำเนินการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นครั้งแรกในปีนี้เมื่อเดือนต.ค. ถือเป็นการนำเครื่องมือนโยบายทางการเงินกลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อเสริมสภาพคล่องและสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดย PBOC ระบุว่า ธนาคารกลางได้อัดฉีดสภาพคล่องสุทธิ 20,000 ล้านหยวน (ราว 2,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ผ่านการซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาด โดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับอายุพันธบัตร (tenors) หรือวันที่ทำรายการ ก่อนหน้านี้ ในช่วงปลายเดือนต.ค. พาน กงเซิง (Pan Gongsheng) ผู้ว่าการ PBOC กล่าวว่า ธนาคารกลางเตรียมกลับมาดำเนินโครงการซื้อขายพันธบัตรอีกครั้ง หลังจากเห็นว่า สภาพตลาดมีความมั่นคงเพียงพอที่จะเริ่มดำเนินการได้อีกครั้ง *** รัฐบาลจีนประกาศเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อกระตุ้นการนำเข้าและส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในฐานะตลาดขนาดมหึมาของโลก แม้ว่าจีนจะยังคงมีดุลการค้าส่วนเกินเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกับประเทศต่าง ๆ ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐฯ โดยโครงการดังกล่าวมีชื่อว่า “Big Market for All: Export for China” โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้จีนกลายเป็นจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ดีที่สุดของโลกและผลักดันความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win cooperation) การประกาศครั้งนี้ ถูกมองว่าเป็นความพยายามของจีนที่จะรีแบรนด์จีนในสายตานานาชาติ ให้เป็นประเทศที่เปิดกว้างต่อการค้าและนำเข้า มากกว่าจะเป็นเพียงผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่ของโลก *** อามิน นัสเซอร์ (Amin Nasser) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ Saudi Aramco เปิดเผยว่า ซาอุดีอาระเบียจะใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรพลังงานราคาต่ำ ทั้งก๊าซธรรมชาติและพลังงานหมุนเวียน เพื่อเปลี่ยนประเทศให้กลายเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยกล่าวว่า Saudi Aramco มีแผนเข้าซื้อหุ้นส่วนน้อยเชิงกลยุทธ์ในบริษัทปัญญาประดิษฐ์แห่งใหม่ชื่อ Humain ซึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย (Public Investment Fund – PIF) ถือหุ้นใหญ่ การเคลื่อนไหวครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ที่มุ่งกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจและลดการพึ่งพารายได้จากน้ำมัน โดยรัฐบาลตั้งเป้าพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI, คลาวด์คอมพิวติ้ง และพลังงานสะอาด เพื่อยกระดับประเทศให้เป็นศูนย์กลางนวัตกรรมของโลกอาหรับและภูมิภาคตะวันออกกลาง *** สก็อตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจพิจารณาอนุญาตให้บริษัท Nvidia ขายชิปประสิทธิภาพสูงรุ่น Blackwell ให้แก่บริษัทจีนในอนาคต พร้อมเปิดเผยว่าอาจมีการจัดประชุมเพิ่มเติมระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และ สี จิ้นผิงในปีหน้า เบสเซนต์ระบุว่า ชิปตระกูล Blackwell ของ Nvidia ถือเป็นอัญมณีล้ำค่าของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในปัจจุบัน แต่ในมุมมองของเขา ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่รวดเร็ว อาจทำให้ชิปรุ่นนี้กลายเป็นเทคโนโลยีล้าสมัยในเวลาไม่นาน ซึ่งอาจเปิดโอกาสให้สหรัฐฯ พิจารณาผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกในอนาคต *** บริษัท Advanced Micro Devices (AMD) คู่แข่งรายสำคัญของ Nvidia เผยคาดการณ์รายได้ไตรมาส 4 ต่ำกว่าความคาดหวังของตลาด แม้ตัวเลขเฉลี่ยจะสูงกว่าประมาณการนักวิเคราะห์ก็ตาม สะท้อนแรงกดดันจากความคาดหวังที่สูงเกินจริงหลังราคาหุ้นพุ่งแรงตลอดปี โดย AMD เปิดเผยว่า รายได้ไตรมาส 4/2025 คาดอยู่ที่ราว 9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้ตัวเลขนี้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณการนักวิเคราะห์ที่ 9,200 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังต่ำกว่าความคาดหวังของบางรายที่ประเมินไว้สูงถึง 9,900 ล้านดอลลาร์ โดยตลอดปีนี้ หุ้น AMD ได้รับแรงหนุนอย่างมากจาก ข้อตกลงเชิงกลยุทธ์กับ OpenAI และ Oracle ซึ่งจะนำชิปของบริษัทไปใช้ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการประมวลผล AI ทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า AMD จะสามารถเจาะตลาดและลดการผูกขาดของ Nvidia ในตลาดชิปประมวลผล AI ได้ในที่สุด *** Apple กำลังเตรียมบุกตลาดแล็ปท็อปต้นทุนต่ำเป็นครั้งแรก ด้วยการพัฒนา Mac รุ่นราคาประหยัด ที่มุ่งดึงดูดผู้ใช้จากกลุ่ม Chromebook และพีซีระดับเริ่มต้นของระบบปฏิบัติการ Windows โดยอุปกรณ์ใหม่นี้ ออกแบบมาเพื่อเจาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ภาคธุรกิจ และผู้ใช้งานทั่วไป โดยเน้นตอบโจทย์การใช้งานเบื้องต้น เช่น การท่องเว็บ การทำงานเอกสาร หรือการตัดต่อสื่ออย่างง่าย นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าเจาะกลุ่มลูกค้าที่อาจเลือกซื้อ iPad แต่ต้องการประสบการณ์ใช้งานแบบแล็ปท็อปมากกว่า ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 2026 *** ราคาหุ้นของ Uber ร่วงลงแรงที่สุดในรอบเกือบ 1 ปี หลังบริษัทประกาศคาดการณ์กำไรหลังปรับปรุงต่ำกว่าคาดการณ์ และเปิดเผยว่าค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและกฎระเบียบได้กระทบต่อผลกำไรไตรมาส 3 แม้รายได้จากธุรกิจขนส่งผู้โดยสารและส่งอาหารจะขยายตัวแข็งแกร่งก็ตาม โดยรายได้จากการดำเนินงาน สำหรับไตรมาสสิ้นสุด ณ วันที่ 30 ก.ย. อยู่ที่ 1,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าคาดที่ 1,620 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Uber กล่าวว่าความแตกต่างดังกล่าวเกิดจากค่าใช้จ่ายทางกฎหมายและกฎระเบียบที่ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4 บริษัทคาดว่า Adjusted EBITDA จะอยู่ระหว่าง 2,410 – 2,510 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยค่ากลางของช่วงนี้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณการนักวิเคราะห์ที่ 2,490 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เล็กน้อย *** Seres Group Co. ผู้ผลิตรถยนต์หรูรายใหญ่ของจีนและพันธมิตรหลักของ Huawei Technologies ในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เตรียมเริ่มซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงวันพุธนี้ (5 พ.ย.) หลังระดมทุนได้กว่า 14,300 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งดีลสำคัญในปีทองของตลาด IPO ฮ่องกง โดยราคาหุ้นของ Seres ปรับตัวเพิ่มขึ้นในการซื้อขายตลาดเทา (gray market) เมื่อวันอังคาร สะท้อนความต้องการลงทุนที่แข็งแกร่ง โดยหุ้นถูกกำหนดราคาขายที่ 131.50 ดอลลาร์ฮ่องกงต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของช่วงราคาที่เสนอขายต่อสาธารณะ แม้ยังต่ำกว่าราคาปิดล่าสุดในตลาดเซี่ยงไฮ้ราว 22% *** บรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของโลก นำโดย General Motors (GM), Tesla, Toyota Motor, Hyundai, Volkswagen และ Ford Motor เรียกร้องให้รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขยายอายุข้อตกลงการค้าเสรี สหรัฐฯ–เม็กซิโก–แคนาดา (USMCA) ซึ่งพวกเขามองว่าเป็นเสาหลักสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกัน คำร้องดังกล่าวถูกยื่นต่อสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ก่อนถึงการทบทวนข้อตกลง USMCA อย่างเป็นทางการในปี 2026 ซึ่งเป็นขั้นตอนตามกรอบการประเมินระยะเวลา 6 ปีของข้อตกลง โดยค่ายรถแต่ละรายยังได้เสนอข้อปรับปรุงบางประการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาค *** ยอดขายรถยนต์ประเภทน้ำหนักเบา (Light Vehicles) ในสหรัฐฯ เดือนต.ค.ปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังการสิ้นสุดของเงินอุดหนุนจากรัฐบาลกลาง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ขณะเดียวกันตลาดแรงงานที่เริ่มอ่อนแรงและความกังวลเรื่องภาษีนำเข้าที่อาจเพิ่มขึ้นในปีหน้า ยังกดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของยอดขายในช่วงที่เหลือของปี ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์ตลาด Omdia ระบุว่า ยอดขายรถยนต์เบาในสหรัฐฯ เดือนต.ค. ลดลง 6.5% สู่ระดับ 15.3 ล้านคันต่อปี (ปรับตามฤดูกาล) ขณะที่ยอดขายจริงของรถยนต์ไฟฟ้าลดลงแรงจาก 98,289 คันในเดือนก.ย. เหลือเพียง 74,897 คัน *** ราคาทองคำ เคลื่อนไหวทรงตัวในวันอังคาร (4 พ.ย.) หลังร่วงลงเกือบ 2% ในวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดรายวันที่แรงที่สุดในรอบกว่า 1 สัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ ที่พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดตั้งแต่เดือนพ.ค. ทำให้ความต้องการซื้อทองคำลดลง โดยราคาทองคำสปอต (Spot Gold) ทรงตัวใกล้ระดับ 3,937 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังจากร่วงแรงในวันจันทร์ ขณะที่ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการปรับขึ้นต่อเนื่องที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เดือนก.ค. อย่างไรก็ดี ราคาทองคำยังคงปรับขึ้นราว 50% ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนจะอ่อนตัวลงบางส่วนในช่วงนี้ โดยการปรับฐานครั้งล่าสุดเกิดขึ้นพร้อมกับ การไหลออกของเงินลงทุนจากกองทุน ETF ที่อิงทองคำ แม้ว่าความเร็วของกระแสเงินออกจะเริ่มชะลอตัวลงในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา 
|