“เอกนิติ” เผยยังคง VAT ที่ 7% ในปี 69-70 เหตุต้องรอเศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มศักยภาพ แต่หากเศรษฐกิจโตตามเป้า อาจทยอยปรับขึ้นสู่ระดับ 8.5% ในปี 71 ก่อนแตะ 10% ในปี 73 แต่ย้ำต้องทำควบคู่นโยบายบรรเทาผลกระทบต่อปชช. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแผนการคลังระยะปานกลางที่ระบุถึงการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากปัจจุบันอยู่ที่ 7% นั้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในแผนการเพิ่มศักยภาพการคลังระยะปานกลาง (MTFF) และมุ่งมั่นที่จะลดการขาดดุลการคลังให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 3% ให้ได้ภายในปี 2572 
สำหรับแผนในการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ยืนยันว่า วันนี้ ประเทศยังไม่พร้อม สถานการณ์เศรษฐกิจวันนี้ประเทศไทยยังไม่พร้อม ดังนั้นในแผนความยั่งยืนทางการคลังจึงได้ใส่ไว้ในแผนคือ การทยอยปรับขึ้น VAT ในปี 2571 แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแผนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจใน 2 ปีนี้ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างมีศักยภาพได้ ดังนั้น การที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตเต็มศักยภาพในปี 2571 ซึ่งอาจเป็นเวลาที่จะทยอยขึ้นได้ โดยสำคัญคือ รอจังหวะให้พร้อม นอกจากนั้น ยังทำแผนว่า หากไม่สามารถปรับขึ้นได้จะต้องหามาตรการอื่นมาทดแทน ซึ่งจะทำให้ต่างชาติและคนไทยเชื่อมั่นว่า ฐานะทางการคลังของไทยยังอยู่ในระดับดี “ตามแผน คือในปีนี้ปีหน้าจะไม่มีการขึ้นภาษี VAT อย่างแน่นอน โดยปัจจุบันอัตราภาษี VAT ของไทยสูงสุดคือ 10% แต่วันนี้ต้องดูความพร้อม และยังมีคิดคำนวณว่า หากเศรษฐกิจไทยในวันนั้นยังไม่ฟื้นตัวพอที่จะขึ้น VAT ได้ก็ต้องมีมาตรการอื่นเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มรายได้ การลดรายจ่าย ซึ่งเชื่อว่าแผนอันนี้จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้ สิ่งที่เราทำ เพราะต้องการโชว์ศักยภาพของไทยให้ต่างชาติได้เห็น จากที่ก่อนหน้าหน่วยงานต่างๆ ได้มีการเตือนว่าจะมีการปรับ Outlook หรือ ดาวน์เกรดของไทย เพราะไทยขาดดุลการคลังเกิน 3% ของจีดีพี ซึ่งวันนี้อยู่ที่ติดลบ 4.4% โดยรัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะปรับลดให้เหลือต่ำกว่า 3% ให้ได้ ซึ่งถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่น”นายเอกนิติ กล่าว ทั้งนี้ในแผนการคลังระยะปานกลาง มีทั้งเรื่องภาษี มีแผนในการลดรายจ่าย มีแผนในการใช้เงินกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อใช้ในการลงทุน มีแผนเรื่องวินัยทางการคลัง ***รับโลกมีความผันผวนสูง ไทยเร่ง Reskill-ส่งเสริมการออม นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมถึงภาพของเศรษฐกิจในปัจจุบันว่า โลกมีความผันผวนมากและจะผันผวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีความท้าทายจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ความไม่แน่นอนของสงคราม ราคาน้ำมันและทองที่มีความผันผวน ซึ่งเรื่องนี้จะทำอย่างไรให้ปรับตัวได้อย่างยั่งยืน โดยสิ่งที่รัฐบาลพยายามดำเนินการคือ การเพิ่มความรู้ Reskill การเพิ่มทักษะให้คนไทยมีความแข็งแกร่ง สามารถที่จะเพิ่มทักษะเรียนรู้ใหม่ได้ในทุกระดับ ขณะเดียวกัน นอกจากการเพิ่มทักษะในเรื่องการประกอบธุรกิจ การให้ความรู้ทางการเงิน การสร้างวินัยแล้ว รัฐบาลยังเดินหน้าให้คนออมมากขึ้น โดยเริ่มจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลแล้วไม่ถูก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างหารือกับปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล จะสามารถแบ่งเงินจากส่วนที่เป็นค่าบริหารจัดการมาคืนให้ประชาชนที่ไม่ถูกสลากฯ ให้เป็นการบังคับออม โดยเงินออมดังกล่าวจะตั้งเป็นกองทุน และไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่ปลอดภัย และสามารถนำเงินส่วนนี้ออกได้เมื่ออายุ 55 ปี แต่หากใครที่อายุ 55 ปี เมื่อซื้อจะต้องถือต่อไปอีก 5 ปี เพื่อเป็นการออมในระยะยาว ขณะที่ภาคเอสเอ็มอี อยู่ระหว่างการออกแบบแพคเกจเอสเอ็มอีที่จะครบทั้งหมด ทั้งด้านการเงิน การค้ำประกันสินเชื่อ ด้านภาษีที่จะมีพี่ช่วยน้อง ด้านการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่จะสนับสนุนให้เอสเอ็มอีคนไทยมีโอกาสเข้าถึงการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ ซึ่งจะทำให้เอสเอ็มอีไทยอยู่รอดได้ และต้องปรับให้แข่งขันได้ในระยะยาว โดยในเรื่องนี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยู่ระหว่างคิดแคมเปญเพิ่มเติม เพื่อช่วยให้โครงการอย่างยั่งยืน ***ชี้เศรษฐกิจไทยโตต่ำ เหตุขาดการลงทุนนาน นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการลงทุนนั้น ที่ผ่านมาพบว่า ไทยเติบโตต่ำ เพราะขาดการลงทุนมานาน โดยวันนี้ไทยใช้กลไกของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น พลังงานสะอาด “วันนี้ประเทศไทยกินบุญเก่า ทั้งเรื่องน้ำ ไฟ ท่าเรือ สนามบิน แต่วันนี้อุตสาหกรรมใหม่ นักลงทุนอยากมาลงทุน แต่เขายังถามหาในเรื่องของ พลังงานสะอาด ซึ่งไทยยังมีน้อย เราจึงเน้นการลงทุนในพลังงานสะอาด วันนี้ถึงเวลาที่ไทยจะต้องลงทุนเพื่ออนาคต เพราะเราไม่ได้ลงทุนมานาน และเอาภาครัฐและเอกชนมาร่วมลงทุน”นายเอกนิติ กล่าว นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ไทยจะต้องสร้างผลิตภัณฑ์การออมในระยะยาว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างทำ Thailand Individual saving account เพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือกลงทุนตามความเสี่ยงของตัวเอง “ที่ผ่านมา โดยปกติปลายปีจะมีการซื้อ-ขาย กองทุน RMF , กองทุน ESG แต่ถามว่าซื้อเพราะอะไร เพราะต้องการลดหย่อนภาษี พอ 3 ปี 5 ปี 10 ปี ถึงขายได้ มันบิดเบือนมาก และที่ติดอยู่ในพอร์ตขาดทุนเท่าไหร่ คนที่ลงทุนก็เสียตัง เพราะกองทุนตก เราต้องทำ TISA มาเพื่อให้นักลงทุนมีทางเลือก และก็ไม่ต้องมาคอยต่ออายุเพื่อลดหย่อนภาษี พอจะหมดอายุคนก็จะแห่ขาย หุ้นก็ตกอีก บีบกันไปกันมา วันนี้ต้องทำให้ชัดเจนว่า แต่ละคนจะมีกองทุนของตัวเองเลยว่าหักลดหย่อนได้เท่าไหร่ และเลือกได้ตามความเสี่ยงของตัวเอง”นายเอกนิติ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้และทรัพย์สิน รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ในแผน MTFF ระบุว่า ด้านรายได้ 1.มุ่งเน้น การเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ โดยนำระบบงานดิจิทัลและ BIG DATA มาใช้เพื่อขยายฐานภาษีและเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบรายบุคคลและผู้ประกอบการ รวมถึงการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ 2.การดำเนินมาตรการภาษีของหน่วยงานจัดเก็บ ทั้งการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และพิจารณาความเหมาะสมของค่าลดหย่อนบางประเภท การเก็บภาษีการเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม การจัดเก็บภาษีสรรพสามิต รวมถึงการทยอยยกเลิกการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1.5% โดยในปีงบประมาณ 2571 จะอยู่ที่ 8.5% และเพิ่มอีก 1.5% ในปี 2573 หรือ VAT จะอยู่ที่ 10% ทั้งนี้ การยกเลิกภาษี VAT รัฐบาลจะต้องเสนอมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดกับประชาชนและระบบเศรษฐกิจในคราวเดียวกัน ด้านรายจ่าย 1.การดำเนินการตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล 2.การจัดทำงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อไม่เป็นการเพิ่มรายจ่ายประจำ 3.การจัดทำแผนงาน โครงการ หน่วยรับงบประมาณควรกำหนดเป้าหมาย ตัวชี้วัด และผลลัพธ์ที่สร้างประโยชน์ให้กับประชาชน 4.การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่าย หน่วยรับงบประมาณควรให้ความสำคัญกับการตัดทำงบประมาณในมิติพื้นที่ 5.การจัดทำงบประมาณโดยพิจารณาครอบคลุมทุกแหล่งเงินทั้งเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณ 
|