BTS โล่งใจ! หลังได้รับชำระหนี้จาก กท. ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวครบ 3.6 หมื่นล้านบาท "คีรี กาญจนพาสน์" เตรียมนำส่วนหนึ่งไปชำระหนี้ตามกำหนด และจัดสรรไว้ลงทุนต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน มั่นใจสถานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น D/E ลดเหลือเพียง 1 เท่า พร้อมเดินหน้าแผนลงทุนและโครงการเมืองการบินอู่ตะเภาต่อเนื่อง นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS แถลงเรื่อง "กทม.ชำระหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียว" ว่า บริษัทได้รับชำระหนี้ค่าจ้างเดินรถจากกรุงเทพมหานคร (กทม.) ครบแล้วเป็นจำนวน 36,000 ล้านบาท เมื่อ 30 ตุลาคม 2568 พร้อมกล่าวขอบคุณที่ดำเนินการชำระหนี้ทั้งหมดเรียบร้อย บริษัทจะจัดสรรเงินที่ได้ชำระหนี้ จำนวน 15,000 ล้านบาท ชำระหนี้ที่ถึงกำหนด และอีกราว 20,000 ล้านบาท สำหรับใช้ลงทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียนในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้สถานะทางการเงินของบริษัทดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) จะลดจาก 1.39 เท่า เหลือเพียงประมาณ 1 เท่า ส่งผลให้บริษัทมีความพร้อมมากขึ้นในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระยะต่อไป ทั้งนี้ เงินจำนวน 36,000 ล้านบาทดังกล่าว เป็นยอดหนี้จากสัญญาจ้างเดินรถที่ฟ้องร้องระหว่างกัน โดยแบ่งเป็นหนี้จากคดีฟ้องครั้งที่สองราว 12,000 ล้านบาท และยอดหนี้ที่ฟ้องตั้งแต่มิถุนายน 2564 ถึงกันยายน 2568 รวม 24,100 ล้านบาท รวมดอกเบี้ยทั้งหมดแล้ว 
สำหรับค่าใช้จ่ายเดินรถในอนาคต BTS และกทม.ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) กำหนดให้บริษัทวางบิลในวันที่ 3 ของทุกเดือน และกทม.จะชำระเงินภายในวันที่ 20 ของเดือนเดียวกัน โดยมีมูลค่าค่าจ้างเดินรถราว 740 ล้านบาทต่อเดือน ครอบคลุมส่วนต่อขยายที่ 1 และ 2 ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งเชื่อว่าหลังจากนี้จะไม่เกิดปัญหาค้างชำระซ้ำอีก
นายคีรียังกล่าวถึงนโยบายค่าโดยสาร "40 บาทต่อวัน" ของรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและช่วยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าขึ้นอีกราว 50% จากปัจจุบันที่มีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายรวมกันประมาณ 2 ล้านคนต่อวัน พร้อมย้ำว่ายินดีให้ความร่วมมือเต็มที่กับนโยบายภาครัฐ เพราะตลอด 30 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ลงทุนกว่า 50,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งของประเทศ ในส่วนของโครงการเมืองการบินอู่ตะเภา ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนของ BTS และบริษัทร่วมทุนบริษัท ยูทีบี จำกัด ยังคงเดินหน้าดำเนินโครงการต่อเนื่อง คาดว่าภายใน เดือนธันวาคมนี้ จะมีความชัดเจนมากขึ้น หลังจากเซ็นสัญญามาแล้วกว่า 5 ปี บริษัทเตรียมหารือกับรัฐบาลเพื่อผลักดันให้โครงการเมืองการบินและพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เดินหน้าต่อไป แม้บรรยากาศการลงทุนโดยรวมจะชะลอตัว "โครงการสนามบินอาจมีการปรับขนาดให้เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจและการขยายตัวของสนามบินสุวรรณภูมิและดอนเมือง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินยังอยู่ระหว่างการดำเนินการและยังไม่มีกรอบเวลาชัดเจน แต่บีทีเอสยังคงยืนยันเดินหน้าเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้นในที่สุด" 
|