รัฐบาลจีน ส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนทิศทางโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างชัดเจน โดยหันมามุ่งเน้นส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศในช่วง 5 ปีข้างหน้า หลังความสามารถในการพึ่งพาการลงทุนและการส่งออกเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจมูลค่า 19 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐเริ่มถึงขีดจำกัด ท่ามกลางภาวะชะลอตัวของการค้าโลกและวิกฤตตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศ แม้การขยายอุปสงค์ในประเทศจะเป็นเป้าหมายระยะยาวของรัฐบาลจีนมาอย่างยาวนาน แต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่ (ปี 2026–2030) มีแนวทางที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้นในเรื่องนี้ โดยจะให้ความสำคัญกับสัดส่วนการบริโภคใน GDP และปรับแนวคิดด้านนโยบายจากการผลิตเป็นศูนย์กลาง ไปสู่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน คณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประกาศในสัปดาห์นี้ว่าจะเพิ่มสัดส่วนรายจ่ายภาครัฐด้านบริการสาธารณะอย่างเหมาะสม เพื่อเสริมศักยภาพการบริโภคของประชาชน รวมถึงเดินหน้านโยบายที่มุ่งเน้นผู้บริโภคมากขึ้น ปรับโครงสร้างรายได้เพื่อเพิ่มรายได้ครัวเรือน และเพิ่มส่วนแบ่งของรัฐบาลกลางในรายจ่ายด้านสวัสดิการสังคม เพื่อช่วยพยุงภาคครัวเรือน โดยแอนดรูว์ แบตสัน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยจีนของ Gavekal Dragonomics ระบุว่า “แผน 5 ปีฉบับใหม่นี้ จะให้ความสำคัญกับภาคครัวเรือนและการบริโภคมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา” ข้อเสนอในแผนฉบับใหม่ สอดคล้องกับคำกล่าวก่อนหน้านี้ของเจ้าหน้าที่รัฐบาล ที่ระบุว่าจีนจะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของภาครัฐเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และเพิ่มสัดส่วนการบริโภคของครัวเรือนใน GDP อย่างมีนัยสำคัญในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยเจ้าหน้าที่รายหนึ่งเปิดเผยว่า “การจัดสรรทรัพยากรจะถูกปรับไปยังภาคการบริโภคมากขึ้น เนื่องจากการขยายตัวขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมดั้งเดิมและโครงสร้างพื้นฐานถึงขีดจำกัดแล้ว” ทั้งนี้ การลงทุนในอนาคตจะเน้นไปที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชั้นสูงและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ 
ด้านที่ปรึกษาบางรายประเมินว่า จีนอาจตั้งเป้าเพิ่มอัตราการบริโภคของครัวเรือน ให้สูงขึ้นราว 5 จุดเปอร์เซ็นต์ในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะกำหนดเป้าหมายเป็นตัวเลขในแผนอย่างเป็นทางการหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ความพยายามผลักดันการบริโภคในทศวรรษที่ผ่านมาดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากปัญหาระบบสวัสดิการที่ยังไม่เพียงพอ รายได้ที่เติบโตช้าลง และวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ที่บั่นทอนความมั่งคั่งของครัวเรือน ขณะเดียวกัน ภาคบริการก็ยังขยายตัวได้จำกัด ปัจจุบัน การบริโภคของครัวเรือนจีน คิดเป็นเพียงราว 40% ของ GDP ซึ่งต่ำกว่าสหรัฐฯ ที่มีสัดส่วนเกือบ 70% โดยนักวิเคราะห์บางรายเสนอว่าจีนควรตั้งเป้าเพิ่มเป็น 50% ภายในทศวรรษหน้า พร้อมระบุว่า กุญแจสำคัญอยู่ที่การกระจายทรัพยากรจากภาคธุรกิจและการลงทุนของภาครัฐไปยังครัวเรือน เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ภายใน อย่างไรก็ตาม แม้จะเน้นการบริโภคมากขึ้น แต่รัฐบาลยังยืนยันว่า จะรักษาสัดส่วนภาคการผลิตไว้ในระดับที่เหมาะสม โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานใหม่ อากาศยาน และวัสดุล้ำสมัย ซึ่งปัจจุบันภาคการผลิตคิดเป็นราวหนึ่งในสี่ของ GDP ของจีน ทั้งนี้ รัฐบาลจีนใช้จ่ายด้านการลงทุนมากกว่า 6% ของ GDP ต่อปี (ไม่นับเงินทุนจากหน่วยงานกึ่งการคลัง ขณะที่พันธบัตรพิเศษระยะยาวมูลค่า 1.3 ล้านล้านหยวน (ราว 182,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่ออกในปีนี้ ราว 300,000 ล้านหยวนจะถูกนำไปสนับสนุนโครงการแลกเปลี่ยนเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าเป็นของใหม่ เพื่อกระตุ้นการบริโภค ส่วนที่เหลือจะใช้สำหรับการอัปเกรดอุปกรณ์และโครงการลงทุนอื่น ๆ ที่มา Reuters 
|