SCC คงเป้ายอดขาย - EBITDA ปีนี้ ใกล้เคียงปีก่อน แม้ราคาขายที่ปรับตัวลดลง-เผชิญความท้าทายต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/68 ชูกระแสเงินสดดี หนุนจ่ายปันผลได้เท่าปีก่อนได้ แย้มเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก เสริมแกร่งธุรกิจ พร้อมรับมือเศรษฐกิจโลกยืดเยื้อ นายธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC เปิดเผยว่าบริษัทคาดยอดขายปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 511,172 ล้านบาท แม้ปริมาณขายของบริษัทจะปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากราคาขายที่ปรับตัวลดลง จึงทำให้มองว่าหากบริษัทสามารถทำยอดขายได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาก็ถือว่าโอเแล้ว 
ทั้งนี้มองว่าเพราะขนาดของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ค่อนข้างใหญ่ แม้บริษัทได้เดินเครื่องโรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ (LSP) ในประเทศเวียดนามขึ้นมาซึ่งปกติจะสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 10% แต่ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายอดขายยังติดลบไป 3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยหลักๆมาจากราคาปิโตรฯลดลง ประกอบกับราคาขายแพคเกจจิ้งก็ได้รับผลกระทบ จึงทำให้ยอดขายโดยรวมอาจต่ำลงไปนิดหน่อย ขณะที่บริษัทยังคงเป้ากระแสเงินสด (EBITDA) ปีนี้จะใกล้เคียงกับปีก่อนที่ทำได้ 54,000 ล้านบาท แม้มองว่าในช่วงไตรมาส 4/68 ยังคงเผชิญความท้าทาย เพราะมีปัจจัยต่างๆที่ยังมืดมัวเต็มไปหมด แต่เชื่อมั่นว่าหากบริษัทโมเมนตัมได้จะทำได้ตามเป้าที่วางไว้แน่นอน โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีกระแสเงินสดประมาณ 44,511 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนเรื่องการจ่ายเงินปันผลงวดปี 68 นั้น เนื่องจากบริษัทมีกระแสเงินสดค่อนข้างดี จากในช่วง 9 เดือนมี EBITDA ประมาณ 44,511 ล้านบาท และเงินสดคงเหลือ ณ สิ้นไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 50,662 ล้านบาท จึงมองว่าบริษัทยังมีศักยภาพในการจ่ายเงินปันผลได้ พร้อมคาดว่าน่าจะจ่ายได้ในระดับทรงตัวจากปีก่อน "เรากำลังเจอพายุเศรษฐกิจเข้ามาเต็มที่เริ่มจากไตรมาส 3 ต่อเนื่องถึงไตรมาส 4 ของปีนี้ และอาจยาวไปจนถึงปีหน้า ซึ่งการอ่อนตัวของกำลังซื้อและการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาคงต้องใช้เวลา ซึ่งปัจจุบันเครื่องยนต์ต่างๆเดินได้ด้วยการกระตุ้นจากนโยบายภาครัฐที่เข้ามา ทำให้เสถียรภาพและความต่อเนื่องของรัฐบาลจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะถ้ามีการผ่านงบลงทุนต่างๆและทำให้เกิดความต่อเนื่องได้จะช่วยได้มาก แต่หากเกิดการสะดุดอีกพลังงานที่เหลืออยู่ก็จะกลายเป็นหมด ซึ่งเป็นความน่ากังวลของประเทศไทยตอนนี้" นายธรรมศักดิ์ กล่าว สำหรับแนวโน้มธุรกิจช่วงข้างหน้านั้น ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังค่อนข้างเหนื่อย ส่วนตลาดอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนมองว่าประเทศเวียดนามยังเติบโตได้ดีระดับ 6-7% ส่วนตลาดฟิลิปปินส์,อินโดนีเซีย และมาเลเซียยังพอไปได้ จึงทำให้บริษัทต้องมุุ่งเน้นตลาดต่างประเทศมากกว่าประเทศไทย อย่างไรก็ตามแม้เศรษฐกิจโลกยังเปราะบางและคาดการณ์ยาก เอสซีจีเชื่อมั่นว่ากลยุทธ์การปรับตัวอย่างทันท่วงทีที่ผ่านมา คือ “ภูมิคุ้มกันที่ถูกทาง” เห็นได้ผลการดำเนินงานและ EBITDA ที่แข็งแกร่ง พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์หลัก เสริมแกร่งธุรกิจ รับมือเศรษฐกิจโลกยืดเยื้อ ดังนี้ กลยุทธ์ที่ 1.รักษาวินัยทางการเงินต่อเนื่อง บริหารกระแสเงินสดที่มั่นคง ใช้เงินทุนหมุนเวียนอย่างระมัดระวัง โดยเดินหน้าปรับโครงสร้างการดำเนินงานธุรกิจ ลดต้นทุนด้วย AI & Robotics เช่น เอสซีจี เดคคอร์ นำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และ AI เข้ามาช่วยตรวจคุณภาพผลิตภัณฑ์ ควบคุมกระบวนการผลิต และบริหารคลังสินค้า ลดต้นทุนได้ถึงกว่า 20% ต่อปี เอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง ใช้ AI และระบบอัตโนมัติจัดการวัตถุดิบ กลยุทธ์ที่ 2.รวมศูนย์การผลิตเพื่อลดความซ้ำซ้อน เน้นเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ในธุรกิจของเอสซีจีที่ดำเนินงานในอาเซียน บริหารต้นทุนการผลิตและส่งออก เช่น เอสซีจี สมาร์ท ลีฟวิง ควบรวบไลน์ผลิตกระเบื้องหลังคาคอนกรีตที่จังหวัดลำพูน ลดต้นทุนได้ 10 ล้านบาทต่อปี กลยุทธ์ที่ 3. รุกตลาดเวียดนาม ฐานการผลิตใหม่เพื่อส่งออกตลาดโลก โดยเวียดนามเติบโตโดดเด่น GDP ขยายตัวกว่า 7% จากมาตรการรัฐและการลงทุนต่อเนื่อง เอื้อต่อธุรกิจอสังหาฯ–ก่อสร้าง–บริโภค และมีต้นทุนการผลิตแข่งขันได้ทั้งพลังงาน แรงงาน และโลจิสติกส์ เอสซีจีจึงเร่งขยายฐานในเวียดนามโดยเพิ่มกำลังการผลิตปูนคาร์บอนต่ำ 8,000 ตันต่อวัน เพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออกไปยังอเมริกา ออสเตรเลีย และยุโรป พร้อมขยายการผลิตและส่งออกเซรามิกจากเวียดนามสู่ตลาดโลก ขณะที่โรงงานลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ ประเทศเวียดนาม (LSP) ปรับแผนการผลิตเพิ่มสัดส่วนการใช้วัตถุดิบก๊าซโพรเพน ซึ่งมีความสามารถในการแข่งขันในช่วงที่สภาวะราคาวัตถุดิบผันผวน ส่วนโครงการเพิ่มวัตถุดิบก๊าซอีเทนที่โรงงาน LSP ประเทศเวียดนาม (โครงการ LSPE) ยังคงเดินหน้าต่อเนื่องตามแผน คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จช่วงปลายปี 70 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันในระยะยาว กลยุทธ์ที่ 4.ขยายพอร์ตสินค้า บริการ ราคาคุ้มค่า เช่น Smart Value,HVA และกรีน เพื่อตอบสนองความต้องการผู้บริโภคในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเอสซีจีขยายกลุ่มสินค้าและบริการ Smart Value “คุณภาพดี–ราคาคุ้มค่า” ทั้งกลุ่มสินค้างานโครงสร้างและวัสดุตกแต่ง เช่น ปูนงานโครงสร้างและปูนก่อฉาบ “ดูร่าวัน” แข็งแรง ใช้งานง่าย, กระเบื้องหลังคาเซรามิก SCG รุ่น “Celica SRA” สำหรับอาคารศาสนสถานและงานดีไซน์พิเศษ, พื้นและประตู “UNIX”, งานเหล็กสำหรับโครงผนัง ฝ้า และหลังคา “TOPSTEEL” และแพคเกจบริการมุงหลังคา “SCG Saver Roof Package” นอกจากนี้ยังมีงานบริการปรับปรุงบ้าน (Home Improvement) จากคิวช่าง อาทิ บริการติดตั้งพื้นไม้ SPC บริการทาสีภายนอก เป็นต้น คาดว่าสินค้ากลุ่มนี้จะได้รับความนิยมสูงในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง เร่งเพิ่มกำลังผลิตสินค้ากรีนและสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products-HVA) อาทิ ปูนคาร์บอนต่ำ ปูนคาร์บอนต่ำ อยู่ระหว่างพัฒนาปูนคาร์บอนต่ำรุ่นใหม่ Generation 3 ที่ลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 38% โดยเตรียมปรับกำลังการผลิต 2 ล้านตัน/ปี ภายในปี 70 ที่จังหวัดสระบุรี และ CPAC Extra Base Layer นวัตกรรมซ่อม-สร้างถนนลดการยุบตัวและคงตัวทนนานจากการกัดเซาะน้ำ สะพาน UHPC (Ultra High Performance Concrete) สมรรถนะสูง ลดเวลาก่อสร้างได้ถึง 50% 3D Printing Mortar เทคโนโลยีการขึ้นรูปอาคารก่อสร้างที่มีดีไซน์ซับซ้อน ขยายตลาดไปญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย และมาเลเซีย ยกระดับ Roof Installation บริการมุงหลังคาครบวงจรเอสซีจี ด้วย Drone AI ตรวจรอยรั่วหลังคาและวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติ ช่วยให้ซ่อมแซมรวดเร็ว ปลอดภัย และแม่นยำยิ่งขึ้น SCG Comfort Tile กระเบื้องซีเมนต์ปูพื้นรายแรกในไทย ที่ลดความร้อนสะสมได้ 3–7°C ด้วย HeatSync Technology ให้พื้นเย็น เดินสบาย สุขภัณฑ์ไร้ถังประหยัดน้ำ DUACT และแบบ “เคลือบจากเปลือกไข่–หอย” ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นวัตกรรมเม็ดพลาสติกจากเทคโนโลยี SMX ช่วยลดความหนาของผลิตภัณฑ์ลงโดยยังคงความแข็งแรง พัฒนาเป็นสินค้าหลากหลาย เช่น ท่ออุตสาหกรรมเหมืองแร่ขนาดใหญ่ ฝาขวดน้ำอัดลม ถังบรรจุสารเคมี และบรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค นวัตกรรมพลาสติกรีไซเคิล ทั้งเทคโนโลยีรีไซเคิลเชิงกล และเทคโนโลยีรีไซเคิลขั้นสูง ซึ่งใช้ผลิตเป็นบรรจุภัณฑ์ Food Grade ปลอดภัย ผ่านการรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน "ท่ามกลางมรสุมเศรษฐกิจโลกที่ยังยืดเยื้อ เอสซีจีประเมินว่าความท้าทายจะยังคงต่อเนื่องถึงปีหน้า จากปัจจัยที่ยังไม่คลี่คลาย เช่น การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น มาตรการกีดกันทางการค้าที่ขยายตัว และค่าเงินบาทที่แข็งกว่าปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งยังคงกดดันการส่งออกและการท่องเที่ยวของไทย แม้เผชิญสถานการณ์ที่ท้าทายมากขึ้น แต่เรามั่นใจว่ามาตรการที่ดำเนินมาอย่างเข้มข้นตลอดปีที่ผ่านมานั้นมาถูกทางแล้ว ทั้งการเสริมวินัยทางการเงิน ปรับโครงสร้างธุรกิจ และขยายสู่ตลาดที่มีศักยภาพ ซึ่งเป็นฐานสำคัญให้เอสซีจียืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง" นายธรรมศักดิ์ กล่าว 
|