*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 58.69 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 20 เซนต์ หรือ 0.3% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ ปิดที่ 63.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 30 เซนต์ หรือ 0.5% ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี หลังดิ่งลงราว 4% ในวันพุธ ขณะที่นักลงทุนซึบซับรายงานจาก OPEC ที่คาดว่าอุปทานน้ำมันอาจล้นตลาดในปีหน้า ควบคู่ไปกับมาตรการคว่ำบาตรที่สหรัฐฯ เตรียมบังคับใช้ต่อบริษัทน้ำมัน Lukoil ของรัสเซีย *** รายงานล่าสุดของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ระบุว่า ตลาดน้ำมันโลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ภาวะอุปทานส่วนเกินครั้งใหญ่ในปีหน้า โดยอาจสูงถึง 4.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) จากการเร่งเพิ่มกำลังการผลิตของ OPEC+ และผู้ผลิตรายอื่น ขณะที่การเติบโตของอุปสงค์ชะลอตัวลง โดยส่วนเกินระดับ 4.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน คิดเป็นเกือบ 4% ของความต้องการน้ำมันทั่วโลก และสูงกว่าประมาณการของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนความเสี่ยงว่าแนวโน้มตลาดกำลังก้าวเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นอย่างชัดเจน *** รายงานของเจพีมอร์แกนระบุว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกอาจมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงปลายปีนี้ หลังเฮดจ์ฟันด์ปรับท่าทีระมัดระวังเกินคาดในเดือน ต.ค. โดยทีมวิเคราะห์ของเจพีมอร์แกน เปิดเผยว่า ข้อมูลผลการดำเนินงานของเฮดจ์ฟันด์ที่รายงานผลรายเดือนในเดือน ต.ค. พบว่า กองทุนประเภท Equity Long/Short ลดสัดส่วนการถือหุ้นลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบมากกว่า 1 ปี ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิด เจพีมอร์แกนระบุเพิ่มเติมว่า กองทุนประเภท Equity Quant ซึ่งมักมีสถานะใกล้เคียงสมดุล ก็แสดงให้เห็นระดับหุ้นเบตา (equity beta) ที่ค่อนข้างต่ำในเดือนเดียวกัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่า การที่กองทุน Long/Short ลดน้ำหนักหุ้นอย่างมากในเดือนต.ค. ทำให้มีช่องว่างสำหรับการกลับเข้าซื้อหุ้นและช่วยหนุนตลาดในช่วงปลายปี หากภาวะตลาดเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น *** รัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีกำหนดกลับมาดำเนินงานตามปกติในวันพฤหัสบดี หลังการชัตดาวน์ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ยืดเยื้อนานถึง 43 วัน ซึ่งส่งผลกระทบทั่วประเทศ ทั้งการจราจรทางอากาศที่ติดขัด การตัดความช่วยเหลือด้านอาหารแก่ประชาชนรายได้น้อย และการที่เจ้าหน้าที่ราว 1.4 ล้านคน ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างนานกว่าหนึ่งเดือน ทำเนียบขาวระบุว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางประมาณ 1.4 ล้านคน ที่ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างตลอดช่วงชัตดาวน์ จะเริ่มได้รับเงินค้างจ่ายในวันเสาร์ และจะจ่ายครบถ้วนภายในวันพุธหน้า ก่อนหน้านี้ฝ่ายบริหารทรัมป์เคยขู่จะระงับการจ่ายค่าจ้างบางส่วน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดขึ้นจริง *** ที่ปรึกษาเศรษฐกิจระดับสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า รายงานการจ้างงานประจำเดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งเตรียมเผยแพร่เร็ว ๆ นี้ จะออกมาโดยไม่มีตัวเลขอัตราการว่างงาน เนื่องจากรัฐบาลไม่สามารถเก็บข้อมูลได้ในช่วงชัตดาวน์ โดยรายงานการจ้างงานเดือนต.ค. เดิมกำหนดเผยแพร่โดยสำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (BLS) ในวันที่ 7 พ.ย. แต่ต้องเลื่อนออกไป และเป็นหนึ่งในหลายข้อมูลเศรษฐกิจที่ไม่สามารถเผยแพร่ได้ในช่วงชัตดาวน์ เพราะเจ้าหน้าที่ถูกพักงานและไม่มีการเก็บข้อมูลใด ๆ หลังวันที่ 1 ต.ค. *** แมรี่ ดาลีย์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ สาขาซานฟรานซิสโก ระบุว่า ยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่าควรลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. หรือไม่ โดยย้ำว่าตนยังเปิดกว้างต่อทุกทางเลือก ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่จะถูกเปิดเผยในช่วง 4 สัปดาห์ข้างหน้า โดยดาลีย์กล่าวว่า “มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าไม่ลดแน่นอนหรือลดแน่นอน ตอนนี้ทิศทางของนโยบายค่อนข้างอยู่ในจุดที่เป็นกลาง” พร้อมเสริมว่า การตัดสินใจ จะขึ้นอยู่กับข้อมูลใหม่จำนวนมาก ที่จะประกาศก่อนการประชุมครั้งถัดไป *** ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน จะไม่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่จะจัดขึ้นสัปดาห์หน้าในแอฟริกาใต้ ถือเป็นแรงกระทบสำคัญต่อเจ้าภาพ ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เผชิญแรงกดดันอยู่แล้วหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ประกาศไม่เข้าร่วมและสั่งคว่ำบาตรงานประชุม โดยกระทรวงการต่างประเทศจีนประกาศว่าหลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน จะเป็นผู้แทนเข้าร่วมประชุมผู้นำ โดยไม่มีการระบุเหตุผลว่าทำไมประธานาธิบดีสี จิ้นผิงจึงไม่มาร่วมในครั้งนี้ การตัดสินใจของผู้นำจีน ทำให้การประชุม G20 ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อหารือประเด็นภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจระดับโลกและโดยปกติจะมีผู้นำประเทศเข้าร่วม กลับไม่มีผู้นำจาก 2 เศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก ได้แก่ สหรัฐฯ และจีน รวมถึงรัสเซียด้วย *** การขยายตัวของสินเชื่อในจีนเดือนต.ค. อ่อนแรงที่สุดในรอบกว่า 1 ปี โดยถูกกดดันจากยอดขายพันธบัตรรัฐบาลที่ชะลอตัวลง และความต้องการกู้ยืมที่ซบเซาในภาคเศรษฐกิจ โดยยอดการระดมทุนรวม (Aggregate Financing) ซึ่งเป็นมาตรวัดสินเชื่อที่ครอบคลุมวงกว้าง เพิ่มขึ้นเพียง 815,000 ล้านหยวน (ราว 115,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จากข้อมูลที่เปิดเผยโดยธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2024 และต่ำกว่าคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์ที่ระดับ 1.2 ล้านล้านหยวนอย่างมาก สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อใหม่เพียง 219,000 ล้านหยวน ในเดือนดังกล่าว ต่ำกว่าที่คาดเช่นกัน ขณะที่การเติบโตของยอดสินเชื่อคงค้างในภาคเศรษฐกิจจริงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สะท้อนดีมานด์สินเชื่อที่อ่อนแรงทั่วทั้งระบบ *** จีนกำลังเข้าสู่ช่วงการชะลอตัวของการเติบโตด้านการบริโภคที่ยาวนานที่สุด นับตั้งแต่การฟื้นตัวหลังโควิด-19 ระบาด ที่เริ่มสูญเสียแรงขับเคลื่อนเมื่อกว่า 4 ปีก่อน ซึ่งสะท้อนว่า คำมั่นของรัฐบาลจีนในการกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศยังห่างไกลจากผลลัพธ์ในทางปฏิบัติ โดยข้อมูลทางการที่มีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ คาดว่าจะระบุว่ายอดค้าปลีกเดือนต.ค. เติบโตเพียง 2.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการชะลอตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน ซึ่งยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 และเป็นอัตราขยายตัวที่อ่อนแอที่สุดในรอบกว่า 1 ปี 
*** ตัวเลขเบื้องต้นของเทศกาลช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดของจีน วันคนโสด หรือ 11.11 (Double 11 / Singles’ Day) ชี้ว่ายอดขายเติบโตช้าลงในปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มเศรษฐกิจที่อ่อนแรง โดยยอดขายรวมทุกแพลตฟอร์มอยู่ที่ 1.695 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 238,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้น 14.2% YoY ตามข้อมูลของบริษัทวิจัยผู้บริโภคจีน Syntun แต่ชะลอลงจากอัตราเติบโต 26.6% YoY ของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ รายงานระบุว่าผู้บริโภคใช้ความมีเหตุผลมากขึ้นและยอมจ่ายเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าจริงพร้อมแสดงพฤติกรรมการซื้อแบบจำแนกตามลำดับความจำเป็น โดยเทศกาล Singles’ Day เป็นงานช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในจีน มีมูลค่าซื้อขายสูงกว่า Black Friday ของสหรัฐฯ เป็นอย่างมาก *** ไป่ตู้ (Baidu Inc.) เปิดตัวโมเดลปัญญาประดิษฐ์รุ่นเรือธงเวอร์ชันใหม่ Ernie 5.0 ในความพยายามรักษาจังหวะการแข่งขันในตลาด AI ของจีนที่ร้อนแรงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยโรบิน หลี่ มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งไป่ตู้ กล่าวว่า Ernie 5.0 เป็นโมเดล Natively omni-modal สามารถประมวลผลและเข้าใจคำสั่งของผู้ใช้จากสื่อต่าง ๆ ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นข้อความ เสียง หรือภาพ หลี่ระบุบนเวทีว่า “ไป่ตู้จะเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโมเดลล้ำสมัยต่อไป เพื่อยกระดับขีดความสามารถของปัญญาประดิษฐ์ให้สูงยิ่งขึ้น” *** เทนเซ็นต์ (Tencent Holdings Ltd.) บรรลุข้อตกลงสำคัญกับแอปเปิล (Apple Inc.) ที่เปิดทางให้ iPhone เข้ามาดูแลระบบการชำระเงินและรับส่วนแบ่ง 15% จากการซื้อสินค้าและบริการภายในมินิเกมและมินิแอปบนแพลตฟอร์ม WeChat ซึ่งถือเป็นการคลี่คลายข้อพิพาทที่ยืดเยื้อมานานในตลาดสมาร์ทโฟนที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยข้อตกลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมใหม่ ที่แอปเปิลเปิดให้ผู้พัฒนามินิแอปทั้งหมดเข้าร่วมได้ หากยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านซอฟต์แวร์ของแอปเปิล เช่น ระบบให้ผู้ปกครองสามารถแชร์ช่วงอายุของบุตรหลานได้ แม้อัตราส่วนแบ่ง 15% จะต่ำกว่าค่าคอมมิชชั่นมาตรฐาน 30% ของแอปเปิล แต่ถือเป็นแหล่งรายได้ใหม่ของบริษัท และช่วยลดแรงกดดันให้เทนเซ็นต์ ซึ่ง WeChat ถือเป็นศูนย์กลางการใช้งานดิจิทัลในชีวิตประจำวันของคนจีน *** ธนาคารกลางสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore: MAS) เสนอแนวปฏิบัติใหม่ ให้คณะกรรมการบริษัทและผู้บริหารระดับสูงของสถาบันการเงิน ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงที่เกิดจากการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยคณะกรรมการหรือคณะกรรมการย่อยที่ได้รับมอบหมายต้องจัดให้ความเสี่ยงจาก AI ถูกบรรจุไว้อย่างชัดเจนภายในกรอบความเสี่ยงของสถาบันการเงิน หากเป็นความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ ข้อเสนอดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่สิงคโปร์ ผลักดันให้ภาคธุรกิจลงทุนเพิ่มในด้านการฝึกอบรมพนักงานและก้าวให้ทันมาตรฐานสากลในการนำ AI มาใช้ โดยมีตัวอย่างคือ หน่วยงานธนาคารสิงคโปร์ทั้ง 3 แห่งกำลังดำเนินการพัฒนาทักษะพนักงานท้องถิ่นกว่า 35,000 คน ภายใน 1–2 ปี เพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจาก AI *** ญี่ปุ่น กำลังเผชิญคลื่นการเกษียณอายุก่อนกำหนดและโครงการเปิดให้ลาออกโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปีนี้ ขณะที่บริษัทรายใหญ่ เช่น Panasonic Holdings และ Japan Display พยายามบริหารแรงงานสูงอายุควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยข้อมูลจาก Tokyo Shoko Research ระบุว่ามีพนักงาน 11,045 คนถูกเสนอให้เข้าร่วมโครงการเกษียณก่อนกำหนด จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2021 โดยกว่า 90% มาจากบริษัทในตลาด Prime Market โดยเฉพาะกลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า อาหาร ผลิตภัณฑ์โลหะ และเครื่องจักร *** ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของบริษัทเทคโนโลยีญี่ปุ่น ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาดการณ์ โดยความต้องการใช้งานศูนย์ข้อมูลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ผู้ผลิตชิปและผู้ผลิตเครื่องจักรอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์หลายรายปรับเพิ่มประมาณการกำไร บริษัทส่วนใหญ่ในดัชนี MSCI Japan Information Technology Index รายงานผลประกอบการเรียบร้อยแล้ว และพบว่าแข็งแกร่งกว่าคาดมากกว่า 3 ใน 4 ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดกลุ่มหนึ่ง เมื่อเทียบกับหมวดอื่นใน MSCI Japan Index โดยกำไรรวมของดัชนีเพิ่มขึ้น 35% โดยมี Advantest Corp. เป็นหนึ่งในบริษัทที่ช่วยหนุนการเติบโตมากที่สุด *** มูดี้ส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหนี้หลายรายการของบริษัทสินค้าเครื่องกีฬาและรองเท้าชั้นนำของโลก ไนกี้ (Nike) ลงหนึ่งระดับ โดยให้เหตุผลว่าต้นทุนสูงขึ้นจากภาษีศุลกากรและปัจจัยกดดันอื่น ๆ พร้อมกันนี้ มูดี้ส์ได้ปรับมุมมองต่ออันดับเครดิตของไนกี้จากเชิงลบ ขึ้นเป็นมีเสถียรภาพ ไนกี้กำลังเผชิญความท้าทายด้านผลประกอบการ หลังจากแบรนด์หน้าใหม่อย่าง On และ Hoka ที่แย่งส่วนแบ่งตลาดในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ ทำให้รายได้ของบริษัทในปีงบประมาณ 2025 ลดลง 10% ขณะที่กำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษี (EBIT) ร่วงลงถึง 42% 
|