*** สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนม.ค. ปิดที่ 63.20 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 14 เซนต์ หรือ 0.22% สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 58.55 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.17% จากระดับปิดเมื่อวันพุธ (26 พ.ย.) เนื่องจากไม่มีการปิดราคาในวันพฤหัสบดี ซึ่งตรงกับวันหยุดทำการเนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ราคาน้ำมันดิบล่วงหน้าปรับตัวลดลงเล็กน้อยในวันศุกร์ ขณะที่นักลงทุนประเมินความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ท่ามกลางการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซีย–ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ พร้อมจับตาการประชุมโอเปกพลัสในวันอาทิตย์เพื่อหาสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางการปรับปริมาณการผลิต *** OPEC+ มีมติคงระดับการผลิตน้ำมันสำหรับไตรมาสแรกของปี 2026 ในการประชุมเมื่อวันอาทิตย์ ถือเป็นครั้งแรกที่กลุ่มตัดสินใจไม่ปรับโควตา หลังชะลอความพยายามในการคืนส่วนแบ่งตลาด ท่ามกลางความกังวลว่าตลาดน้ำมันอาจเผชิญภาวะอุปทานล้นในเร็ว ๆ นี้ โดยการประชุมครั้งนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ ดำเนินความพยายามครั้งใหม่ เพื่อเจรจาจัดทำข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซีย–ยูเครน ซึ่งหากการเจรจาคืบหน้าและมีการผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ก็อาจทำให้ปริมาณน้ำมันเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นอีก *** เครื่องมือช้อปปิ้งที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) ช่วยผลักดันยอดใช้จ่ายออนไลน์ในสหรัฐฯ ช่วงแบล็กฟรายเดย์ให้พุ่งแรง โดยผู้บริโภคจำนวนมากหลีกเลี่ยงการเข้าร้านค้าและหันมาใช้แชตบอต เพื่อเปรียบเทียบราคาและมองหาโปรโมชัน โดยชาวอเมริกันใช้จ่ายออนไลน์รวม 11,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในวันดังกล่าว เพิ่มขึ้น 9.1% จากปี 2024 ซึ่งถือเป็นวันที่มีการจับจ่ายมากที่สุดของปี *** เควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติสหรัฐฯ ระบุว่า เขายินดีปฏิบัติหน้าที่ หากได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คนต่อไป ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมที่จะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเจอโรม พาวเวลล์ โดยแฮสเซ็ตต์ให้สัมภาษณ์ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ มีรายชื่อผู้สมัครที่มีคุณสมบัติดีจำนวนมาก และไม่ว่าจะเลือกใคร ก็ถือเป็นการยกระดับอย่างมีนัยสำคัญจากสถานการณ์ปัจจุบัน อีกทั้งยังกล่าวเสริมว่า ตลาดการเงินตอบรับเชิงบวกในช่วงเวลาที่ประธานาธิบดีใกล้ตัดสินใจเลือกประธานเฟดคนใหม่ *** ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของจีน ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนพ.ย. แต่ยังคงอยู่ในภาวะหดตัว โดยถือเป็นการขยายช่วงเวลาหดตัวต่อเนื่องเป็นสถิติใหม่ ขณะที่เศรษฐกิจจีนชะลอตัวรุนแรงขึ้น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) ระบุว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตอยู่ที่ 49.2 ยังคงต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและการหดตัว เป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีกิจกรรมนอกภาคการผลิต ซึ่งรวมการก่อสร้างและบริการ อยู่ที่ 49.5 หลังจากขยับขึ้นแตะ 50.1 ในเดือนต.ค. ถือเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี โดยได้รับผลกระทบจากความอ่อนแอของภาคอสังหาริมทรัพย์และบริการที่อยู่อาศัย *** กระแสนักลงทุน ที่เคยหนุนราคาหุ้นกลุ่มหุ่นยนต์ของจีนให้พุ่งแรง กำลังเปลี่ยนเป็นความกังวลเพิ่มขึ้น หลังรัฐบาลออกคำเตือนล่าสุด เกี่ยวกับความเสี่ยงฟองสบู่ ซึ่งทำให้การประเมินมูลค่าที่สูงลิ่วของหุ้นกลุ่มนี้ถูกจับตาอย่างใกล้ชิด ดัชนี Solactive China Humanoid Robotics พุ่งขึ้นเกือบ 60% ตั้งแต่ต้นปีถึงระดับสูงสุดในเดือนต.ค. ได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นเชิงบวกก่อนหน้านี้ จากอานิสงส์นโยบายรัฐที่สนับสนุนอุตสาหกรรมเชิงยุทธศาสตร์ และคลิปหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่เต้นรำ เตะต่อย และแข่งขันวิ่งจนกลายเป็นไวรัล สะท้อนการผสานศักยภาพด้านปัญญาประดิษฐ์และความแข็งแกร่งด้านการผลิตของจีน ซึ่งอยู่ในแกนกลางของยุทธศาสตร์ปั้นอุตสาหกรรมอนาคตของปักกิ่ง อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ความเสี่ยงยิ่งเด่นชัดว่า อุตสาหกรรมเกิดใหม่อาจเติบโตแซงหน้าพื้นฐานจริง ดัชนีดังกล่าวปรับลดลงแล้วเกือบ 20% จากระดับสูงสุด และความระมัดระวังที่เพิ่มขึ้นยังสะท้อนความกังวลของวอลล์สตรีทเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่ตึงตัวของบริษัท AI และต้นทุนลงทุนที่พุ่งสูง 
*** เศรษฐกิจอินเดีย ขยายตัวเร็วกว่าคาดในไตรมาส 3 แม้ได้รับผลกระทบบางส่วนจากภาษีนำเข้าของสหรัฐในอัตรา 50% โดยตัวเลข GDP เติบโตในอัตราเฉลี่ยรายปีที่ 8.2% ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวเร่งขึ้นจาก 7.8% ในไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งตัวเลขค่าเงินฝืดที่ลดลงอย่างไม่คาดคิด ช่วยให้การเติบโตที่แท้จริง (real GDP) สูงขึ้น ทั้งนี้ค่าเงินฝืดเป็นตัวชี้วัดผลกระทบของเงินเฟ้อที่มีต่อมูลค่าการผลิตทั้งหมดของเศรษฐกิจ *** มอร์แกน สแตนลีย์, ซิตี้กรุ๊ป และโกลด์แมน แซคส์ เป็นหนึ่งในหลายสถาบันที่มองว่าตลาดหุ้นอินเดีย มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า ภายหลังผลประกอบการเริ่มทรงตัวและมาตรการนโยบายเริ่มส่งผลช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยตลาดการเงินอินเดียอ่อนกว่าตลาดอื่นอย่างชัดเจนในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นซึ่งร่วงตามหลังประเทศคู่แข่งในอัตรากว้างที่สุดในรอบกว่า 30 ปี สกุลเงินรูปีที่อ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย และพันธบัตรที่ยังถูกกดดันจากอุปทานหนี้รัฐบาลจำนวนมาก อีกทั้งยังถูกการบังคับใช้ภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดที่สุดในเอเชีย ซึ่งกระทบกำไรผู้ส่งออกและชะลอการไหลเข้าของเงินดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มแรงกดดันต่อสภาพคล่อง *** อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานของผู้บริโภคในกรุงโตเกียว ยังอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในเดือนพ.ย. เนื่องจากบริษัทยังคงส่งผ่านต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะหมวดอาหาร หนุนมุมมองว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่ข้อมูลแยกสำหรับเดือนต.ค.ระบุว่า ยอดค้าปลีกและการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัว ขณะที่อัตราการว่างงานทรงตัวที่ 2.6% บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่น ยังรับแรงกระแทกจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นได้ในระดับหนึ่ง ชุดข้อมูลดังกล่าว จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ BOJ จะพิจารณาในการตัดสินใจว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. หรือชะลอไปเป็นปีหน้า *** รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ อนุมัติงบประมาณเสริมวงเงิน 18.3 ล้านล้านเยน (ประมาณ 117,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) สำหรับปีงบประมาณนี้ เพื่อใช้เป็นแหล่งเงินสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ โดยส่วนใหญ่จะมาจากการออกพันธบัตรรัฐบาลชุดใหม่ แพ็กเกจกระตุ้นดังกล่าวประกอบด้วย มาตรการลดภาษี 2.7 ล้านล้านเยน และงบ 8.9 ล้านล้านเยนเพื่อลดค่าครองชีพ เช่น การแจกเงินสด 20,000 เยนต่อบุตรหนึ่งคน และเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้า–ก๊าซ อีก 6.4 ล้านล้านเยน จะถูกจัดสรรเพื่อการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ในอุตสาหกรรมสำคัญ เช่น การต่อเรือ เซมิคอนดักเตอร์ และปัญญาประดิษฐ์ *** รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ระบุว่า ความผันผวนอย่างฉับพลันในตลาดเงินตราต่างประเทศและการอ่อนค่ารวดเร็วของเงินเยนในช่วงที่ผ่านมา “ชัดเจนว่าไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ขับเคลื่อนโดยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ จุดยืนของเราคือออกคำเตือนต่อสถานการณ์เช่นนี้” พร้อมย้ำว่า การแทรกแซงค่าเงินยังคงเป็นทางเลือกได้ หากเงินเยนผันผวนเกินเหตุหรือถูกเก็งกำไรรุนแรง สอดคล้องกับถ้อยแถลงร่วมญี่ปุ่น–สหรัฐฯ เมื่อเดือนก.ย. ที่ระบุว่าอัตราแลกเปลี่ยนควรสะท้อนกลไกตลาด *** ไมครอน เทคโนโลยี เตรียมลงทุน 1.5 ล้านล้านเยน (9,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ในจังหวัดฮิโรชิมา ทางตะวันตกของญี่ปุ่น สำหรับผลิตชิปหน่วยความจำความกว้างแถบสัญญาณสูง (HBM: High-Bandwidth Memory) โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของสหรัฐฯ มีแผนเริ่มก่อสร้างบนพื้นที่โรงงานเดิมในเดือนพ.ค.ปีหน้า และเริ่มส่งมอบสินค้าได้ราวปี 2028 *** Coupang ผู้ค้าปลีกออนไลน์รายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ ออกแถลงการณ์ขอโทษ หลังเกิดเหตุข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าจำนวน 33.7 ล้านบัญชีรั่วไหล จากการเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “Amazon.com แห่งเกาหลีใต้” ระบุบนเว็บไซต์ของบริษัทว่า “เราต้องขออภัยจากใจจริงอีกครั้ง ที่ทำให้ลูกค้าของเราได้รับความไม่สะดวก” เหตุการณ์นี้นับเป็นหนึ่งในกรณีข้อมูลรั่วไหลล่าสุดที่เกิดขึ้นกับบริษัทใหญ่ของเกาหลีใต้ รวมถึงกรณีของ SK Telecom ก่อนหน้านี้ ซึ่งรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้จัดประชุมฉุกเฉินเพื่อพิจารณาว่า Coupang มีการละเมิดกฎความปลอดภัยด้านการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ *** ความเชื่อมั่นของภาคบริการในสหราชอาณาจักร ปรับตัวลดลงเร็วที่สุดในรอบ 3 ปีในช่วงไตรมาส 3 จากแรงกดดันด้านต้นทุนที่ยังคงยืดเยื้อและบั่นทอนกำไร โดยตัวเลขสำคัญจากการสำรวจของ CBI และ IoD บ่งชี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคบริการของ CBI ลดลงสู่ -50 ในช่วงไตรมาส 3 จาก -29 ในเดือนส.ค. ต่ำสุดในรอบ 3 ปี ปริมาณกิจกรรมภาคบริการลดลงสู่ -38 จาก -30 ในช่วงเดียวกัน *** ผลสำรวจล่าสุดของโกลด์แมน แซคส์ชี้ว่า นักลงทุนจำนวนมากคาดว่าราคาทองคำจะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ภายในสิ้นปี 2026 โดยราคาทองคำปรับตัวขึ้นแล้ว 58.6% ตั้งแต่ต้นปี และทะลุระดับสำคัญที่ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ต.ค. จากการสำรวจนักลงทุนสถาบันมากกว่า 900 รายของโกลด์แมน แซคส์ พบว่า 36% คาดว่าทองคำจะยังคงแรงต่อเนื่องและทะลุระดับ 5,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ได้ภายในสิ้นปีหน้า อีก 33% คาดว่าราคาทองจะเคลื่อนไหวในกรอบ 4,500–5,000 ดอลลาร์สหรัฐ 
|