นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.09 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ 32.21 บาทต่อดอลลาร์ โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์สัปดาห์ก่อนหน้า เงินบาท (USDTHB) พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Down เข้าใกล้โซนแนวรับ 32.00-32.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.03-32.22 บาทต่อดอลลาร์) สอดคล้องกับการทยอยอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการรีบาวด์สูงขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) หลังผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อมั่นว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคมนี้ นอกจากนี้ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็ลดความต้องการถือครองเงินดอลลาร์ลง อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง โดยเฉพาะในช่วงเช้าของตลาดการเงินเอเชีย หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น จากผลการประชุมกลุ่ม OPEC+ ที่ระงับแผนการเพิ่มกำลังการผลิตในไตรมาสแรกของปี 2026 ลดความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ส่วนเงินหยวนจีน (CNY) ก็มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง จากรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ ในเดือนพฤศจิกายน ที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่องต่ำกว่าระดับ 50 จุด (สะท้อนถึงภาวะหดตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการ) แย่กว่าที่ตลาดคาด สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง ตามการปรับเพิ่มความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด จากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดและข้อมูลเศรษฐกิจส่วนใหญ่ที่แย่กว่าคาด สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอติดตาม รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จากภาคเอกชน อย่าง ADP, Revelio และ Challenger พร้อมทั้งจับตาพัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก • ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานจากภาคเอกชน ทั้ง จาก ADP และ Revelio ซึ่งจะเป็นข้อมูลการจ้างงานในเดือนพฤศจิกายน (ในส่วนของข้อมูลทางการจาก BLS นั้น จะประกาศในวันที่ 16 ตุลาคม หลังการประชุม FOMC ของเฟด) รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) เดือนพฤศจิกายน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) เดือนธันวาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ที่ล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า เฟดมีโอกาสราว 83% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 25bps ในการประชุม FOMC เดือนธันวาคม นี้ และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมราว 2-3 ครั้ง ในปี 2026 และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการเจรจาระหว่างทางการสหรัฐฯ กับยูเครน เพื่อหาแนวทางในการยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน • ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักดังกล่าว รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของฝั่งยูโรโซน อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนพฤศจิกายน และยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนตุลาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของสงครามรัสเซีย-ยูเครน หลังรัสเซียเปิดฉากโจมตีเมืองหลวงของยูเครนระลอกใหญ่ ส่วนฝั่งยูเครนก็ตอบโต้ด้วยการโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันของรัสเซียในทะเลดำ ซึ่งการโจมตีดังกล่าวได้เกิดขึ้นในช่วงที่ทางการสหรัฐฯ พยายามเร่งหาทางยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน • ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (RatingDog หรือ เดิม Caixin Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤศจิกายน ของจีน ซึ่งจะเน้นภาคธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง เป็นหลัก เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน หลังล่าสุด ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ที่เน้นภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ได้ปรับตัวลดลงและออกมาแย่กว่าคาด ในส่วนของนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ในตลาดต่างประเมินว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) อาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง 25bps สู่ระดับ 5.25% เพื่อช่วยหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การอ่อนค่าลงต่อเนื่องของค่าเงินรูปี (INR) ตลอดทั้งปีนี้ อาจทำให้ RBI ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจน ต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ • ฝั่งไทย – บรรดานักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของไทย ในเดือนพฤศจิกายน อาจปรับสูงขึ้นเล็กน้อยสู่ระดับ -0.6% จากระดับ -0.76% ในเดือนก่อน ตามการทยอยปรับตัวสูงขึ้นของราคาหมวดอาหาร โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ผักสดและผลไม้ ขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถวระดับ 0.60% นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทยและภาคธุรกิจโดยรวม ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ ในเดือนพฤศจิกายน สำหรับ แนวโน้มเงินบาท เนื่องจากประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังคงประเมินว่า เฟดยังมีแนวโน้มเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) มีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down และอาจจบสิ้นปี 2025 แถวโซน 32.00 บาทต่อดอลลาร์ (หรือแข็งค่ากว่าระดับดังกล่าวเล็กน้อย) ได้ ทว่าเงินบาทยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Risk (พร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง) ไม่ต่างกับเงินดอลลาร์ ขึ้นกับการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศออกมา รวมถึงไฮไลท์สำคัญ อย่างผลการประชุม FOMC ของเฟด ว่าจะมีมติอย่างไร และแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot มีการปรับเปลี่ยนอย่างไรบ้าง อนึ่ง หากเงินบาทมีจังหวะอ่อนค่า ก็อาจยังไม่สามารถผ่านโซนแนวต้าน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก ท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์จากผู้เล่นในตลาด ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจีน (CNY) ที่อาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควรในช่วงที่เหลือของปีนี้ และหากอ้างอิงกลยุทธ์ Trend-Following เรามองว่า เงินบาทจะกลับเข้าสู่แนวโน้มอ่อนค่า อีกครั้ง หรืออย่างน้อยก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways เมื่อเงินบาทอ่อนค่าลงทะลุโซนแนวต้าน 32.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และอาจต้องปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุเหนือโซนเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้ หากเฟดตัดสินใจ “คงดอกเบี้ยนโยบาย” และ Dot Plot ก็สะท้อนการลดดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป สวนทางกับคาดการณ์ของตลาดและเรา กดดันให้เงินบาทเสี่ยงอ่อนค่าลง 20 สตางค์ต่อดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย (ขึ้นกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ) หลังรับรู้ผลการประชุม FOMC เดือนธันวาคม ของเฟด ในส่วนของเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์อาจย่อตัวเล็กน้อย หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมมากขึ้น แต่เงินดอลลาร์ก็พร้อมกลับมาแข็งค่าขึ้น ในกรณีที่ ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 31.85-32.45 บาท/ดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.00-32.20 บาท/ดอลลาร์ |