ชมรมวาณิชธนกิจ (IB Club) หารือตลท.- FETCO ถกปัญหา IPO หลังจำนวน- มูลค่าลดฮวบ เล็งชง ก.ล.ต. ทบทวนเกณฑ์กระจายหุ้นให้ผู้มีอุปการคุณ และบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับบริษัทเพิ่มเป็น 40% จากเดิม 25% เพื่อสร้างความเชื่อมั่น หนุนการถือหุ้นในระยะยาว นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด (APM) ในฐานะประธานชมรมวาณิชธนกิจ (IB Club) เปิดเผยว่าวันนี้ได้เข้าหารือกับ "สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) เพื่อพูดคุยปัญหาที่เกิดขึ้นของเรื่องหุ้น IPO ที่ปีนี้มีจำนวนบริษัทและมูลค่าที่เข้าระดมทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
โดยเมื่อเทียบกับก่อนปี 65 ตลาดหุ้นมีการระดมทุนของหุ้น IPO เฉลี่ยที่ระดับ 1 แสนล้านบาทต่อปี และมีจำนวนบริษัทเข้ามาจดทะเบียนทั้ง SET และ mai ปีละประมาณ 30-40 บริษัท หลังจากนั้นก็ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 66 อยู่ที่ระดับ 40,000 ล้านบาท และปี 67 ที่ราว 20,000 ล้านบาท รวมถึงปีนี้ที่คาดจะลดลงเหลือระดับ 12,000 ล้านบาท จากจำนวน 17 บริษัท 
ทั้งนี้จากทิศทางการระดมทุนในตลาดแรก (IPO) ที่ลดลง จึงมีอยากสื่อสารกับ FETCO ถึงประเด็นสำคัญใน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.บรรยากาศการลงทุน (Sentiment) โดยภาพรวมของตลาดที่ไม่ดีและมูลค่าการซื้อขายไม่ได้อยู่ในระดับที่สามารถสนับสนุนให้บริษัทสามารถระดมทุนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ 2.ต้นทุนการระดมทุนที่สูงขึ้นจากกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด โดยมีการปรับกฎเกณฑ์ควบคุมทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณในการที่บริษัทจะขออนุญาตจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงกำหนดการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ซึ่งทำให้เกิดความเข้มข้นและสะท้อนให้ต้นทุนการระดมทุนสูงขึ้นไปด้วย ในขณะที่ภาวะตลาดและมูลค่าที่สามารถระดมทุนได้ไม่ค่อยจูงใจกับต้นทุนการระดมทุน 3.มีการพูดคุยว่าจะทำอย่างไรให้หุ้น IPO มีประสิทธิภาพมากขึ้นหรือการจัดสรรหุ้น IPO ให้กับนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นและสนใจในบริษัทนั้นๆในการซื้อหุ้น IPO อย่างไรก็ตามทั้ง 3 เรื่องนี้จะมีการไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับทาง FETCO ว่าจะทำอย่างไรให้สามารถมีแนวทางที่ทำให้บริษัทที่ต้องการระดมทุนกับอันเดอร์ไรเตอร์สามารถจัดสรรหุ้นให้กับกลุ่มผู้ลงทุนที่เป็นกลุ่มนักลงทุนเฉพาะมากยิ่งขึ้น หรือกลุ่มนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นและมีความเข้าใจกิจการในจำนวนที่มากยิ่งขึ้น เพื่อจะลดจำนวนของการจัดสรรหุ้นให้กับนักลงทุนรายย่อยโดยทั่วไปในวงกว้าง เพราะด้วยบรรยากาศนักลงทุนในปัจจุบันที่ไม่เกิดความเชื่อมั่นก็มักเลือกขายทำกำไรในวันแรกและขายหุ้นในแง่ไม่ได้พิจารณาในเชิงพื้นฐาน ซึ่งพอมีการกระจายหุ้นในส่วนนี้ที่สูง จึงทำให้การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯวันแรกของหุ้น IPO หลายตัวในปีนี้ต่ำจองและยิ่งเป็นตัวตอกย้ำให้นักลงทุนไม่เชื่อมั่นมากขึ้นด้วย "เราจะนำประเด็นเหล่านี้ไปลองหารือกับ ก.ล.ต.ว่ากฎเกณฑ์หรือประกาศต่างๆที่เคยกำกับดูแลในช่วงตั้งแต่ตลาด IPO กำลังคึกคักหรือได้รับความสนใจสูงนั้น บางเรื่องอาจต้องมีการปรับหรือพิจารณาให้สอดคล้องกับสถานการณ์การลงทุนในปัจจุบันหรือไม่" นายสมศักดิ์ กล่าว สำหรับเกณฑ์ที่อยากหารือกับ ก.ล.ต.ช่วยทบทวนกฎเกณฑ์ในเรื่องการกระจายหุ้นให้กับผู้มีอุปการคุณต่างๆ และเกณฑ์การจัดสรรหุ้นให้กับผู้ลงทุนที่เป็นกลุ่มกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานต่างๆในสัดส่วนที่สูงขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้อยู่ในกิจการและเข้าใจถึงทิศทางกิจการ รวมถึงมีความเชื่อมั่นใจบริษัท ซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าจะตอบโจทย์ โดยอยากให้เห็นการกระจายหุ้นให้กลุ่มเหล่านี้สัดส่วนไม่น้อยกว่า 40% ขึ้นไป จากเดิมที่มีเกณฑ์จำกัดการจัดสรรไว้ที่ระดับไม่เกิน 25% ขณะที่มองว่ามาตรการระยะสั้นนี้ที่สำคัญคือ การจัดสรรและกระจายหุ้นให้กับผู้ที่สนใจหรือเข้าใจในกิจการนั้นๆจริงในสัดส่วนที่มากยิ่งขึ้นสามารถช่วยให้ปริมาณคนที่จะเทขายในวันแรกหรือขายในระยะเวลาสั้นๆลดลง "มองว่าเกณฑ์เหล่านี้มันเกิดขึ้นในตอนที่หุ้น IPO บวกขึ้นกว่า 200% จำนวนหลายตัวและ ก.ล.ต.และ ตลท.ในยุคนั้นก็มองเห็นว่ามีการจัดสรรหุ้นให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรงในปริมาณที่สูงและมาทำให้ราคามันขึ้นเกินเหตุ เพียงแต่ว่าความเป็นห่วงในวันนั้นกับบรรยากาศตลาดตอนนี้มันคนละแบบหรือตรงข้ามกันเลย รวมถึงตลาดมีกลไกด้านมาตรการกำกับสภาพการซื้อขายผิดปกติในตลาดรองอยู่แล้ว จึงคิดว่าการผ่อนเกณฑ์ในการจัดสรรให้กับผู้ที่เชื่อมั่นและเข้าใจบริษัทลงหน่อยน่าจะดี" นายสมศักดิ์ กล่าว ส่วนต้นทุนของผู้ระดมทุนที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น มองว่าชัดเจนโดยเฉพาะจากการปรับเกณฑ์ส่งงบการเงินที่ได้รับการรับรองจาก PA (Public Accountant) 3 ปี ในการยื่นขออนุญาต ซึ่งคาดว่าเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 67 ซึ่งทำให้ต้นทุนทั้งเงินและเวลาในการเตรียมความพร้อมก่อนยื่น IPO เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า ประกอบกับด้วยภาวะตลาดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ทำให้ต้นทุนเหล่านั้นมันสูงเมื่อเทียบกับการจูงใจในการระดมทุน รวมถึงมีการยกระดับเกณฑ์กำไรขั้นต่ำของตลาด MAI จาก 10 ล้านบาท เป็น 25 ล้านบาท (หรือรวม 2–3 ปี เป็น 40 ล้านบาท) และ SET จาก 50 ล้านบาท เป็น 75–125 ล้านบาท ซึ่งเกณฑ์ที่ยกสูงขึ้นนี้อาจทำให้บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กหลายแห่งถูกคัดออกไปในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า นายสรวิศ ไกรฤกษ์ รองผู้จัดการ สายงานผู้ออกหลักทรัพย์และสายงานการตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่าโจทย์ที่หารือกับ FETCO คือทำอย่างไรให้ดึงดูดนักลงทุนระยะยาวมากขึ้นกว่านี้ เพราะตอนนี้ที่เห็นอาจเป็นนักลงทุนที่ขาดความเชื่อมั่น โดยมีการพูดถึงนักลงทุน 2 กลุ่ม ซึ่งกลุ่มแรกคือคนที่มีความคุ้นเคยหรือรู้จักบริษัทดีอยู่แล้ว อาทิ ผู้มีอุปการคุณ,เพื่อน,ครอบครัว หรือคนสนิทของเจ้าของ เป็นต้น ที่จะทำอย่างไรที่จะจัดสรรหุ้นให้กลุ่มนี้มากขึ้น ส่วนกลุ่มที่สองคือ สถาบัน,บลจ.หรือกองทุนรวมที่บางแห่งมีกองทุนสำหรับลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (SME) ซึ่งทางประธาน FETCO จะไปหารือกับทางสมาคมบลจ. ว่าจะมีแนวทางอย่างไรที่จะสนับสนุนให้ตั้งกองทุนเหล่านี้มากขึ้น เพื่อจะลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก |