วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนานและประธานบริษัท Berkshire Hathaway อาจลดสัดส่วนการถือครองหุ้น Apple ลงอีกครั้งในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา โดยในรายงานไตรมาสล่าสุด Berkshire ระบุว่า มูลค่าต้นทุนการลงทุนในหมวดสินค้าคอนซูเมอร์ ลดลงราว 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งพอร์ตหุ้นในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ คือหุ้น Apple ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตว่า การลดลงดังกล่าวมาจากการขายหุ้น Apple เพิ่มเติมหรือไม่ ราคาหุ้น Apple ปรับตัวพุ่งขึ้นกว่า 24% ในช่วงไตรมาส 3 ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับบัฟเฟตต์ ในการขายทำกำไร หลังจากที่เขาเริ่มเทขายหุ้นตัวนี้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2024 โดยลดสัดส่วนการถือครองลงถึง 2 ใน 3 ของทั้งหมด ซึ่งถือเป็นการเคลื่อนไหวที่สร้างความประหลาดใจในหมู่นักลงทุน เพราะบัฟเฟตต์มักจะถือหุ้นระยะยาวเป็นหลัก 
ก่อนหน้านี้ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา Berkshire ได้ขายหุ้น Apple บางส่วนออกไปด้วยเช่นกัน โดย ณ สิ้นเดือนมิ.ย. บริษัทถือหุ้น Apple อยู่ราว 280 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งยังคงเป็นการถือครองหุ้นรายใหญ่ที่สุดในพอร์ตการลงทุนของ Berkshire โดยนักลงทุนคาดว่า จะได้เห็นข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น เกี่ยวกับสัดส่วนหุ้น Apple ที่ Berkshire ถืออยู่ เมื่อบริษัทเปิดเผยรายงานแบบฟอร์ม 13F ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ภายในเดือนนี้ ซึ่งจะระบุรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงการถือหุ้นรายตัวจนถึงวันที่ 30 ก.ย. ก่อนหน้านี้ บัฟเฟตต์เคยอธิบายว่า การขายหุ้น Apple บางส่วน มีเหตุผลด้านภาษี แต่หลายฝ่ายมองว่าขนาดของการขาย บ่งชี้ถึงความกังวลต่อมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริงของ Apple ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารพอร์ต เนื่องจากหุ้น Apple เคยมีน้ำหนักมากจนคิดเป็นกว่าครึ่งของมูลค่าพอร์ตการลงทุนทั้งหมดของ Berkshire ทั้งนี้ ตลอด 12 ไตรมาสที่ผ่านมา Berkshire เป็นผู้ขายสุทธิหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 เพียงไตรมาสเดียว ได้เพิ่มเงินสดในมือมากกว่า 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีวัดมูลค่าตลาดหุ้นที่บัฟเฟตต์เคยใช้เป็นตัวชี้วัดหลัก ซึ่งเปรียบเทียบมูลค่ารวมของหุ้นสหรัฐฯทั้งหมด กับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GNP) ของประเทศ ได้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จนเจ้าตัวเคยเตือนว่าอยู่ในระดับที่เท่ากับการเล่นกับไฟ ที่มา Bloomberg 
|