ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนลบในวันพฤหัสบดี (30 ต.ค.) โดยดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดค เป็นผู้นำการร่วงลง หลังหุ้น Meta และ Microsoft ดิ่งแรง จากความวิตกเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่พุ่งสูง ขณะเดียวกันนักลงทุนยังคงประเมินท่าทีที่เข้มงวดกว่าเดิมจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,522.12 จุด ลดลง 109.88 จุด หรือ 0.23% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,822.34 จุด ลดลง 68.25 จุด หรือ 0.99% และ ดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,581.14 จุด ร่วงลง 377.33 จุด หรือ 1.57% หุ้น Meta ร่วงลงถึง 11.3% ซึ่งถือเป็นการดิ่งแรงที่สุดในรอบ 3 ปี หลังบริษัทคาดการณ์ว่ารายจ่ายฝ่ายทุน (Capex) ในปี 2026 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเร่งลงทุนในเทคโนโลยี AI ขณะที่หุ้น Microsoft ลดลง 2.9% หลังรายงานรายจ่ายฝ่ายทุนสูงเป็นประวัติการณ์เกือบ 35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในไตรมาสแรกของปีงบการเงิน และเตือนว่าการใช้จ่ายจะยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ในทางกลับกัน หุ้น Alphabet บริษัทแม่ของ Google ปิดบวก 2.5% หลังรายได้จากธุรกิจโฆษณาและคลาวด์เติบโตต่อเนื่องเกินคาด แรงเทขายดังกล่าวเกิดขึ้นหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ตามคาดเมื่อวันพุธที่ผ่านมา แต่ถ้อยแถลงของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่ระบุว่าการปรับลดดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนธ.ค. ยังไม่แน่นอน ทำให้นักลงทุนลดความคาดหวังต่อการปรับลดดอกเบี้ยรอบถัดไปจากกว่า 90% ลงเหลือราว 70% ลินด์เซย์ เบลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์จากบริษัท 248 Ventures กล่าวว่า “นักลงทุนอยู่ในโหมดลดความเสี่ยง หลังตลาดปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ดัชนี S&P 500 ใกล้ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่ผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่กลับไม่เป็นไปตามความคาดหวังที่สูงเกินจริง” พร้อมชี้ว่าความไม่แน่นอนด้านข้อมูลเศรษฐกิจจากการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ และท่าทีเฟดที่เข้มงวดขึ้น ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ตลาด อีกทั้ง ยังระบุว่า ทั้ง Microsoft, Meta และ Alphabet ยังไม่สามารถให้ความชัดเจนได้ว่า เมื่อใดที่การลงทุนด้าน AI จะเริ่มให้ผลตอบแทน 
ในการซื้อขายหลังปิดตลาด พบว่าหุ้น Amazon ซึ่งร่วงไปก่อนหน้า 3% กลับดีดขึ้น 9% จากแรงหนุนของธุรกิจคลาวด์ที่แข็งแกร่ง แม้ยอดขายอีคอมเมิร์ซจะชะลอตัว ขณะที่หุ้น Apple ปรับตัวขึ้นอย่างผันผวน หลังรายงานผลประกอบการเผยให้เห็นถึงยอดขาย iPhone ที่แข็งแกร่ง แม้เผชิญข้อจำกัดด้านซัพพลายบางส่วนก็ตาม ข้อมูลจาก LSEG ระบุว่า บริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 222 แห่ง ที่รายงานผลประกอบการแล้ว มีถึง 84.2% ที่ทำกำไรเกินคาด สูงกว่าค่าเฉลี่ย 77% ในรอบ 4 ไตรมาสที่ผ่านมา ในบรรดาหุ้น 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P 500 พบว่ามี 7 กลุ่มที่ปรับตัวลดลง นำโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่ร่วงหนักสุด 2.6% ส่วนกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เป็นกลุ่มเดียวที่ปิดบวก โดยเพิ่มขึ้น 0.7% การปรับตัวลดลงของตลาดในวันพฤหัสบดีเกิดขึ้นหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่งทำนิวไฮ 4 วันติดต่อกัน จากแรงหนุนของผลประกอบการที่แข็งแกร่งและความคาดหวังต่อนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ขณะที่กระแสการลงทุนในหุ้น AI ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนตลาดกระทิงในปีนี้ โดยหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำรวมกันมีน้ำหนักกว่า 35% ของดัชนี S&P 500 อย่างไรก็ตาม หุ้น Nvidia ผู้นำตลาดชิป AI ปรับตัวร่วงลง 2% หลังจากที่ก่อนหน้านี้เพิ่งสร้างสถิติเป็นบริษัทจดทะเบียนแห่งแรกของโลก ที่มีมูลค่าตลาดทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะเดียวกัน ข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งรวมถึงการลดภาษีนำเข้าบางส่วน การที่จีนจะกลับมาซื้อถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ รักษาการส่งออกแร่หายาก และเข้มงวดต่อการส่งออกเฟนทานิลก็ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดมากนัก ในส่วนหุ้นรายตัวอื่น ๆ ที่ทำผลงานได้โดดเด่น พบว่าหุ้น Cardinal Health พุ่งขึ้น 15.4% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรทั้งปี ส่วนหุ้น Chipotle Mexican Grill ดิ่งลงถึง 18.2% หลังบริษัทปรับลดเป้าหมายยอดขายรายปี โดยระบุว่าภาษีและเงินเฟ้อที่สูงกำลังกดดันอัตรากำไรของธุรกิจ ที่มา Reuters 
|