ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันพุธ (5 พ.ย.) โดยดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 225.76 จุด หลังความวิตกเกี่ยวกับการมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่สูงเกินจริงเริ่มผ่อนคลายลง รวมไปถึงแรงหนุนจากรายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาดและข้อมูลเศรษฐกิจเชิงบวก ซึ่งช่วยกระตุ้นความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุน ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,311.00 จุด เพิ่มขึ้น 225.76 จุด หรือ 0.48% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,796.29 จุด เพิ่มขึ้น 24.74 จุด หรือ 0.37% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,499.80 จุด เพิ่มขึ้น 151.16 จุด หรือ 0.65% ตลาดปรับตัวขึ้นในวงกว้าง ส่งผลให้ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นผู้นำการฟื้นตัว หลังก่อนหน้านี้ตลาดเผชิญแรงเทขาย จากความกังวลเรื่องมูลค่าหุ้นที่สูงเกินจริง อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวเริ่มชะลอลง ภายหลังเจมี ไดมอน (Jamie Dimon) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพีมอร์แกน เชส ชี้ว่า ราคาสินทรัพย์โดยรวม อยู่ในระดับสูงและตลาดมีความเสี่ยงที่จะปรับฐานลงได้ทุกเมื่อ หุ้นเทคโนโลยีและหุ้นในกลุ่ม AI ที่ขับเคลื่อนตลาดหนุนสถิติสูงสุดใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องมูลค่าฟองสบู่และทำให้ผู้บริหารวอลล์สตรีทหลายราย ออกมาเตือนถึงความเป็นไปได้ของแรงขายทำกำไร ซึ่งความกังวลดังกล่าว ถึงจุดพีคเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังดัชนี S&P 500 และดัชนีแนสแดคร่วงลงแรงที่สุด นับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. อย่างไรก็ดี นักลงทุนส่วนใหญ่ยังมองว่า แรงขายดังกล่าวเป็นการขายออกเพื่อทำกำไรในภาวะตลาดขาขึ้น 
ในอีกประเด็นหนึ่ง ศาลสูงสุดสหรัฐฯ เปิดฉากไต่สวนว่ามาตรการเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และตั้งข้อสงสัยถึงความชอบธรรมในการใช้อำนาจดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดโลก ขณะที่รัฐบาลจีน ประกาศจะยกเลิกภาษีตอบโต้บางรายการต่อสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ แต่ยังคงอัตราภาษี 10% สำหรับสินค้าส่วนใหญ่ รวมถึงยังเก็บภาษีถั่วเหลืองจากสหรัฐฯในอัตรา 13% ในด้านข้อมูลเศรษฐกิจ รายงานการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ระบุว่า การจ้างงานในเดือนต.ค. เพิ่มขึ้น 42,000 ตำแหน่ง แม้ตลาดแรงงานยังแสดงสัญญาณอ่อนแรง ขณะเดียวกันดัชนีภาคบริการจากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) ชี้ว่าภาคบริการยังคงขยายตัว แม้ต้องเผชิญกับต้นทุนสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปีและการเลิกจ้างงานบางส่วน ขณะที่วิกฤตการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ หรือภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องพึ่งพาข้อมูลจากภาคเอกชนมากขึ้นในการประเมินภาวะเศรษฐกิจ ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาลประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 พบว่าบริษัทในดัชนี S&P 500 จำนวน 379 แห่งรายงานงบไปแล้ว โดยกว่า 83% ของบริษัทเหล่านี้ มีกำไรดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่า กำไรโดยรวมของดัชนี S&P 500 ในไตรมาสนี้ จะเติบโต 16.2% เมื่อเทียบเป็นรายปี เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าจากคาดการณ์เดิมที่ 8% เมื่อต้นไตรมาส ความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น McDonald’s พุ่งขึ้น 2.2% หลังยอดขายสาขาเดิมสูงกว่าคาด จากแรงหนุนของเมนูราคาประหยัด ขณะที่หุ้น Match Group เจ้าของแอปหาคู่ Tinder พุ่งขึ้น 5.2% แม้รายได้ไตรมาส 4 ต่ำกว่าคาดการณ์ หุ้น Amgen บวกแรง 7.8% หลังประกาศกำไรแกร่งเกินคาด ขณะที่หุ้น Bank of America ลดลง 2% แม้ปรับเพิ่มเป้าหมายอัตรากำไร หุ้น Humana ร่วง 6% หลังผลประกอบการไตรมาส 3 อ่อนแอ หุ้น Johnson Controls พุ่ง 8.8% หลังคาดการณ์กำไรปี 2026 ดีกว่าคาด ขณะที่หุ้น Super Micro Computer ดิ่งลง 11.3% หลังรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง ที่มา Reuters 
|