นายกฯ นั่งประธานประชุมนโยบายเศรษฐกิจ สั่งช่วยน้ำท่วมภาคใต้เร่งด่วน พร้อมเห็นชอบ โครงการ Thailand FastPass เร่งดัน 80 โครงการใหญ่ช่วยกระตุ้นศก. รวม 4.8 แสนลบ. ลุยลงทุนระบบไฟฟ้ารองรับดาต้าเซ็นเตอร์ - ขยายพื้นที่รับอุตสาหกรรมใหม่ พร้อมโครงการ Upskill & Reskill ป้อนตลาดแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ (กนศ.) ครั้งที่ 5/2568 โดยมีคณะรัฐมนตรี อาทิ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวศศิธร กิตติธรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย
นายกรัฐมนตรีสั่งการและมอบนโยบายในการช่วยเหลืออุทกภัยภาคใต้ก่อนการเริ่มประชุม ดังนี้ นายกรัฐมนตรีได้ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์และเยี่ยมผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยได้ให้รองนายกฯ ธรรมนัส ผู้อำนวยการศูนย์บริหารจัดการน้ำในสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) เดินทางลงไปอำนวยการเพื่อลดผลกระทบจากภัยพิบัติให้มากและเร็วที่สุด และให้เกิดการบูรณาการความร่วมมือจากทุกฝ่าย และให้หน่วยงานต่าง ๆ เร่งดำเนินการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และช่วยเหลือเยียวยาให้กับผู้ประสบภัยโดยเร็ว โดยสถานการณ์น้ำท่วมดังกล่าวมีบริเวณกว้างครอบคลุมพื้นที่เศรษฐกิจ และพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของภาคใต้ จำเป็นที่ต้องเร่งฟื้นฟูให้กลับมาโดยเร็ว โดยขอมอบหมายให้รองนายกเอกนิติฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม เตรียมมาตรการฟื้นฟูเพื่อดูแลประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ให้สามารถกลับมาดำเนินชีวิตและประกอบธุรกิจได้โดยเร็ว รวมทั้งขอให้รัฐมนตรีกระทรวงที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลเรื่องในความรับผิดชอบด้วย เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงแรงงาน อาจช่วยกันพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการโรงงาน หรือแรงงาน โดยขั้นต้นขอให้เร่งสำรวจเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ และให้เร่งดำเนินการเพื่อเสนอเข้า ครม. ตามขั้นตอนโดยเร็ว ทั้งนี้ การประชุมวันนี้จะเป็นการประชุมเพื่อขับเคลื่อน “นโยบาย Quick Big Win” ของรัฐบาล ในเสาหลักที่ 5 คือ “การลงทุนเพื่ออนาคต” ที่แม้ว่าจะมีบริษัทเอกชนทั้งในและต่างประเทศได้รับส่งเสริมการลงทุนจาก BOI แล้วจำนวนมาก แต่ติดปัญหาอุปสรรคเกี่ยวกับการขออนุญาตต่าง ๆ ทำให้ไม่เกิดการลงทุนได้จริง การประชุมวันนี้จึงมีเป้าหมายหลักเพื่อเร่งรัดกระบวนการขออนุญาตต่าง ๆ ให้มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่ขัดขวางการลงทุนที่จะเกิดขึ้น เกิดการจ้างงาน และผลประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ 
ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการเร่งรัดการลงทุนและการส่งเสริมการลงทุนเพื่ออนาคต ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เสนอ ได้แก่
1) มาตรการ Thailand FastPass และการแก้ไขปัญหา/อุปสรรคเพื่อเร่งรัดให้เกิดการลงทุนโดยเร็ว โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมสำคัญที่มีการลงทุนสูง เช่น ดาต้าเซ็นเตอร์ การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม การผลิตพลังงานสะอาด และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างมากกับการจัดทำระบบ Thailand FastPass ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ที่ใช้ปลดล็อกอุปสรรคของโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ให้สามารถเดินหน้าลงทุนได้อย่างรวดเร็ว และจะนำไปสู่กระบวนการแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคอย่างถาวร โดยตั้งเป้าให้การพิจารณาอนุมัติ/อนุญาตเร็วขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 20–50 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนจริงอย่างรวดเร็ว พร้อมดำเนินการภายในเดือนธันวาคม 2568 นอกจากนี้ บีโอไอยังได้คัดเลือกโครงการขนาดใหญ่ที่จะมีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อนำร่องแก้ไขปัญหาจำนวน 80 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 4.8 แสนล้านบาท ประกอบด้วย 1) โครงการขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติในช่วงปี 2566–2567 แต่ยังติดปัญหาไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ 65 โครงการ มูลค่าลงทุน 271,738 ล้านบาท และ 2) โครงการขนาดใหญ่ที่เพิ่งได้รับอนุมัติในปี 2568 ที่ประสบปัญหาคล้ายกันและจะนำมาแก้ไขในคราวเดียวกันอีก 15 โครงการ มูลค่า 216,742 ล้านบาท โดยที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาด้านการลงทุน อาทิ -ด้านระบบส่งไฟฟ้าและพลังงานสะอาด เพื่อให้ผู้ลงทุนมีพลังงานไฟฟ้าอย่างเพียงพอ จึงมีมติให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เร่งรัดการออกประกาศหลักเกณฑ์การวางหลักประกันการใช้โครงข่ายระบบไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการลงทุนขยายระบบสายส่งไฟฟ้าให้เข้าถึงพื้นที่เป้าหมายตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการไฟฟ้านครหลวง เร่งออกหนังสือยืนยันการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำหรับกิจการ Data Center ที่เตรียมลงทุน นอกจากนี้ เพื่อให้มีกลไกพลังงานสะอาดในราคาที่แข่งขันได้ เพื่อตอบโจทย์ทิศทางการลงทุนสีเขียวในอนาคต จึงให้สำนักงาน กกพ. เร่งออกประกาศหลักเกณฑ์และอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียวแบบที่ 2 (UGT2) และโครงการนำร่องซื้อขายไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนโดยตรง (Direct PPA) ให้แล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2568 นอกจากนี้ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิต การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวงวางแผนการลงทุนโครงข่ายระบบไฟฟ้าเพื่อรองรับโครงการลงทุนสำคัญต่อไป -ด้านพื้นที่ลงทุน เพื่อจัดเตรียมพื้นที่รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ ให้กรมโยธาธิการและผังเมือง ประสานกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงาน EEC (กรณีในพื้นที่ EEC) เพื่อพิจารณาทบทวนการวางและปรับปรุงผังเมืองรวมและผังชุมชน กำหนดแนวทางการเพิ่มพื้นที่นิคมฯ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมในอนาคต ภายในเดือนมีนาคม 2569 และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จัดทำแนวทางผ่อนผันให้อนุญาตขุดถมดินเพื่อเตรียมพร้อมที่ก่อสร้างไปพลางก่อนระหว่างยื่นความเห็นชอบรายงาน EIA ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม 2569 ทั้งนี้ ให้บีโอไอประสานกับคณะกรรมการขับเคลื่อนเร่งรัดและติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านกฎหมายต่อไป เป็นต้น 2) มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ (Upskill & Reskill) ตั้งเป้า 100,000 คน แบ่งเป็น นักศึกษาที่เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดแรงงาน 30,000 คน และแรงงานที่ต้องการยกระดับหรือปรับเปลี่ยนทักษะ (Upskill & Reskill) 70,000 คน โดยการจัดอบรมและยกระดับทักษะแรงงานระดับ ปวส. ขึ้นไป ผ่านรูปแบบการฝึกอบรม การเรียนแบบ Onsite และ Online รวมถึงการฝึกปฏิบัติจริงในสถานประกอบการ โดยต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม
3) มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับการยกระดับประสิทธิภาพธุรกิจด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การวิจัยและพัฒนา (R&D) และการปรับเปลี่ยนสู่ธุรกิจใหม่หรืออุตสาหกรรมสีเขียว โดยผู้ขอต้องเป็นนิติบุคคลที่มีสัดส่วนผู้ถือหุ้นไทยอย่างน้อย 51% ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งนี้ ต้องยื่นคำขอภายในเดือนมกราคม 2569 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 12 เดือนหลังออกบัตรส่งเสริม
โดยมาตรการที่ 2 และ 3 จะใช้เงินจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ ในวงเงินประมาณ 5,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยโดยเร็วและวางรากฐานการเติบโตในระยะต่อไป 
|