*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ 59.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 96 เซนต์ หรือ 1.59% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ (Brent) ปิดที่ 63.52 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 92 เซนต์ หรือ 1.43% ราคาน้ำมันดิบโลกปิดลดลงมากกว่า 1% ในวันพุธ (5 พ.ย.) แตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยได้รับแรงกดดันจากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาดทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความต้องการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งช่วยจำกัดการร่วงลงของราคาน้ำมัน *** โจนาธาน ครินสกี (Jonathan Krinsky) นักวิเคราะห์จาก BTIG เตือนว่า ดัชนี S&P 500 อาจเผชิญการปรับฐานมากกว่านี้ โดยสัญญาณทางเทคนิคหลายประการบ่งชี้ว่าตลาดอาจเผชิญแรงขายเพิ่มเติมก่อนเริ่มฟื้นตัว พร้อมชี้ว่า “ช่วงหลังเราย้ำเตือนต่อความเสี่ยงด้านขาลงของตลาดหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยชี้ถึงการพุ่งขึ้นเกินจริงของตัวชี้วัดทางเทคนิค ความแตกต่างของความกว้างตลาด (breadth divergence) ที่ชัดเจน และภาวะความมั่นใจเกินไปของนักลงทุน ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นส่วนผสมที่เสี่ยงอย่างยิ่ง” เขากล่าวว่า แม้ตลาดแสดงความแข็งแกร่งมาตลอดปีนี้ แต่ดัชนี S&P 500 ยังไม่เคยแตะเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน (50 DMA) ที่ระดับ 6,654 จุด และยังไม่เคยมีการปรับฐานในวันปิดตลาดเกิน 3% ตั้งแต่เดือนเม.ย.ที่ผ่านมา *** ศาลสูงสุดสหรัฐฯ ตั้งข้อสงสัยต่อมาตรการภาษีนำเข้าทั่วโลกของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โดยผู้พิพากษาหลักหลายคนชี้ว่า ประธานาธิบดีทรัมป์อาจใช้อำนาจเกินขอบเขตในนโยบายเศรษฐกิจหลักของเขา ศาลสูงสุดอาจเตรียมกำหนดข้อจำกัดที่สำคัญต่ออำนาจของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนม.ค. โดยผู้พิพากษาในกลุ่มเสียงข้างมากสายอนุรักษ์นิยม 3 คนตั้งคำถามถึงการที่ทรัมป์ใช้ กฎหมายอำนาจพิเศษในภาวะฉุกเฉิน เพื่อเรียกเก็บภาษีมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนจากการนำเข้าสินค้าทั่วโลก *** รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมสหรัฐฯ เปิดเผยว่า จะออกคำสั่งให้ตัดเที่ยวบินลงราว 10% ที่สนามบินหลัก 40 แห่งทั่วสหรัฐฯ ตั้งแต่วันศุกร์เป็นต้นไป หากยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อยุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางได้ โดยภาวะชัตดาวน์ที่ยืดเยื้อมาจนถึงวันที่ 36 ซึ่งนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ทำให้เจ้าหน้าที่ควบคุมการบิน ราว 13,000 คน และเจ้าหน้าที่สำนักงานความมั่นคงด้านการขนส่ง (TSA) อีกราว 50,000 คน ต้องปฏิบัติงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ส่งผลให้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรรุนแรงขึ้น เกิดความล่าช้าในการบินเป็นวงกว้าง และทำให้คิวนักเดินทางที่ด่านตรวจรักษาความปลอดภัยยาวขึ้น *** กิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคบริการของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นในเดือนต.ค. โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของคำสั่งซื้อใหม่ แต่การจ้างงานที่อ่อนแรงยังสะท้อนถึงภาวะตลาดแรงงานที่ซบเซา ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดจากมาตรการภาษีนำเข้า โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (Institute for Supply Management: ISM) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคบริการ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 52.4 ในเดือนต.ค. จาก 50.0 ในเดือนก.ย. สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดไว้ที่ 50.8 โดยระดับเหนือ 50 บ่งชี้ว่า กิจกรรมในภาคบริการยังคงขยายตัว ทั้งนี้ ภาคบริการคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจสหรัฐฯทั้งหมด *** ADP รายงานว่า การจ้างงานในภาคเอกชนของสหรัฐฯ ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยในเดือนต.ค. โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ สะท้อนว่าตลาดแรงงานอาจยังไม่เข้าสู่ภาวะชะลอตัวรุนแรง ภาคเอกชนสหรัฐฯ เพิ่มการจ้างงาน 42,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. หลังจากที่เดือนก.ย.ลดลง 29,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ADP ยังได้ปรับตัวเลขเดือนก.ย.ใหม่ โดยระบุว่ามีการเลิกจ้างงานน้อยกว่ารายงานเดิมอีก 3,000 ตำแหน่ง *** รัฐบาลจีนยืนยันว่า จะระงับการเก็บภาษีตอบโต้สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ บางรายการ รวมถึงสินค้าเกษตรบางประเภท หลังการพบปะระหว่างผู้นำ 2 ประเทศเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถั่วเหลืองที่นำเข้าจากสหรัฐฯ จะยังคงถูกเก็บภาษีในอัตรา 13% โดยคณะกรรมาธิการภาษีของคณะรัฐมนตรีจีนระบุว่า จะยกเลิกการเก็บภาษีสูงสุด 15% สำหรับสินค้าการเกษตรบางรายการจากสหรัฐฯ เริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. เป็นต้นไป แต่จะยังคงภาษี 10% ที่ถูกจัดเก็บเพื่อตอบโต้ มาตรการ “Liberation Day” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ *** ทางการจีนออกข้อกำหนดใหม่ให้ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากรัฐ ต้องเปลี่ยนจากการใช้ชิป AI ต่างประเทศ มาเป็นชิปที่ออกแบบโดยบริษัทในประเทศ ซึ่งสะท้อนความพยายามระยะยาวของรัฐบาล ในการลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะชิปของ ตามรายงานระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลของจีน ได้ออกแนวทางกำหนดให้ ศูนย์ข้อมูลที่ยังอยู่ระหว่างก่อสร้างและมีความคืบหน้าน้อยกว่า 30% ต้องถอดถอนและแทนที่ชิปต่างชาติด้วยชิปภายในประเทศ ส่วนโครงการที่มีความคืบหน้ามากกว่านั้น จะพิจารณาเป็นรายกรณี *** เจนเซน หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Nvidia เตือนว่า จีนมีแนวโน้มจะแซงหน้าสหรัฐฯ ในสมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยระบุว่า “จีนกำลังจะชนะการแข่งขันด้าน AI ผมพูดมาโดยตลอดว่า จีนตามหลังสหรัฐฯ เพียงแค่ไม่กี่นาโนวินาทีในด้าน AI” พร้อมเสริมว่า “สิ่งสำคัญคือ สหรัฐฯ ต้องชนะด้วยการเร่งพัฒนาให้เร็วกว่าคู่แข่ง และดึงนักพัฒนาทั่วโลกเข้ามามีส่วนร่วมในระบบนิเวศของเราให้ได้” ซีอีโอของผู้นำตลาดชิป AI ระดับโลกยังเคยกล่าวว่า สหรัฐฯ สามารถชนะศึก AI ได้ หากนักพัฒนาทั่วโลกรวมถึงฐานนักพัฒนาขนาดมหึมาของจีน ยังคงใช้ระบบของ Nvidia เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า รัฐบาลจีนได้จำกัดการเข้าถึงตลาดภายในประเทศของ Nvidia ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อกลยุทธ์ดังกล่าว *** ผู้จัดการกองทุนไพรเวทอีควิตี้ ที่เน้นลงทุนในเอเชีย เริ่มมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นต่อเศรษฐกิจจีน โดยคาดหวังว่านโยบายของรัฐบาลจีน ที่มุ่งพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการเร่งนำเทคโนโลยีมาใช้ในภาคการผลิต จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโตในระยะถัดไป โดยประธานกรรมการของ EQT Asia กล่าวว่า “ผมมองจีนในแง่บวกมาก และนั่นทำให้ผมมองฮ่องกงในแง่บวกมากเช่นกัน” พร้อมชี้ว่า แนวนโยบายสำคัญในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมระยะ 5 ปี ฉบับใหม่ของจีน จะช่วยเสริมความได้เปรียบของประเทศในด้านอุตสาหกรรมการผลิตขั้นสูง ส่งเสริมการลงทุนในเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ *** บริษัท Shein ยักษ์ใหญ่ด้านอีคอมเมิร์ซจากจีน เดินหน้าเปิดร้านค้าจริงแห่งแรกของโลกที่กรุงปารีส ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงในฝรั่งเศสเกี่ยวกับสินค้าบางรายการของบริษัท รวมถึงตุ๊กตาในลักษณะล่อแหลม โดยร้าน Shein แห่งใหม่นี้ ตั้งอยู่บนชั้นบนของห้างสรรพสินค้าเก่าแก่ BHV Marais ใจกลางกรุงปารีส ใกล้กับมหาวิหารนอเทรอดาม (Notre-Dame) และอยู่ตรงข้ามกับศาลาว่าการกรุงปารีส ซึ่งหลายฝ่ายแสดงความกังวลว่า การเข้ามาของ Shein จะสร้างแรงกดดันต่อผู้ประกอบการท้องถิ่น เนื่องจากรูปแบบธุรกิจแฟชั่นราคาถูก (fast fashion) ที่เน้นราคาต่ำ 
*** บริษัท BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากจีน กำลังสร้างความได้เปรียบเหนือ Tesla ในตลาดสหราชอาณาจักร และไล่ตามอย่างสูสีในเยอรมนี ซึ่งเป็น 2 ตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรป โดยรายงานจากสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหราชอาณาจักรระบุว่า ในเดือนที่ผ่านมา BYD มียอดจดทะเบียนรถใหม่มากกว่า Tesla เกือบ 7 เท่า และในช่วง 10 เดือนแรกของปี ยอดขายของ BYD พุ่งขึ้นมากกว่า 6 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่ยอดขายของ Tesla ลดลง 4.5% ส่วนในเยอรมนี BYD มียอดจดทะเบียนรถในเดือนต.ค. มากกว่า Tesla กว่า 4 เท่า และตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปี BYD มียอดขายตามหลัง Tesla เพียง 424 คันเท่านั้น ซึ่งถือว่าไล่ทันในระดับที่ใกล้มาก *** Xpeng เตรียมเปิดตัว บริการรถยนต์ไร้คนขับ (robotaxi) ภายในไตรมาสแรกของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีจากก่อนหน้านี้ ที่บริษัทเคยระบุว่า “ธุรกิจรถยนต์ไร้คนขับยังไม่พร้อมในอนาคตอันใกล้” พร้อมเผยโฉมหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์รุ่นใหม่ล่าสุดของบริษัทด้วย โดยการเร่งเดินหน้าด้านเทคโนโลยีของ Xpeng สะท้อนกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกับคู่แข่งรายสำคัญอย่าง Tesla โดยบริษัทพยายามปรับภาพลักษณ์จากผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วไปไปสู่การเป็นบริษัทเทคโนโลยีเคลื่อนที่อัจฉริยะ รถยนต์ไร้คนขับ 3 รุ่น ซึ่งจะใช้ชิปประมวลผล AI “Turing” ที่บริษัทพัฒนาเองจำนวน 4 ตัวต่อคัน โดยบริษัทอ้างว่าชิปเหล่านี้ให้พลังการประมวลผลภายในรถสูงสุดในโลกถึง 3,000 TOPS (trillion operations per second) ซึ่งเป็นหน่วยวัดมาตรฐานของอุตสาหกรรม *** Xpeng ประกาศว่า Volkswagen AG ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของเยอรมนี จะเป็นลูกค้ารายแรกที่นำระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติรุ่นใหม่ไปใช้ หลังบริษัทเริ่มเปิดให้ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ โดยประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Xpeng กล่าวในงาน “AI Day” ว่า ระบบใหม่นี้ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากเทคโนโลยีเดิมของบริษัท เช่น ระบบช่วยจอด (parking assist), ระบบขับบนทางหลวง (highway assist) และระบบนำทางในเมือง (city navigation assist) โดยยืนยันว่าระบบใหม่นี้ ต้องการการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยกว่า ระบบ Full Self-Driving (FSD) ของ Tesla และสามารถทำเวลาบนเส้นทางทดสอบได้เร็วกว่าหลายนาที *** มารอส เซฟโควิช กรรมาธิการด้านการค้าของสหภาพยุโรป เปิดเผยว่า สหภาพยุโรปได้จัดตั้งช่องทางพิเศษสำหรับการสื่อสารกับทางการจีน เพื่อให้มั่นใจว่าการจัดส่งแร่หายาก ซึ่งมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมของยุโรปจะไม่สะดุด โดยมาตรการดังกล่าวเกิดขึ้น ภายหลังจีนประกาศควบคุมการส่งออกแร่หายากซึ่งสร้างความกังวลให้ยุโรปอย่างมาก เนื่องจากแร่เหล่านี้เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า (EVs), กังหันลม และเทคโนโลยีขั้นสูงอื่น ๆ ที่ต้องใช้แม่เหล็กถาวร *** Pfizer มีแผนที่จะเพิ่มข้อเสนอซื้อกิจการบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Metsera Inc. หลังจากที่ศาลรัฐเดลาแวร์มีคำตัดสินปฏิเสธคำร้องของ Pfizer ที่ต้องการให้ระงับไม่ให้ Metsera ยุติข้อตกลงควบรวมกิจการเดิม และหันไปรับข้อเสนอที่สูงกว่าจาก Novo Nordisk มูลค่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยคำตัดสินดังกล่าวถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุด ในศึกชิงกิจการระหว่าง 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยา ซึ่งต่างเร่งแย่งชิงตำแหน่งในตลาดยาลดความอ้วนที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในต้นทศวรรษหน้า *** Apple กำลังเตรียมทำข้อตกลงกับ Alphabet Inc. บริษัทแม่ของ Google เพื่อใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ (AI) ขนาดมหาศาลที่มีถึง 1.2 ล้านล้านพารามิเตอร์ เพื่อรองรับการปรับโฉมครั้งใหญ่ของผู้ช่วยเสียง Siri โดยคาดว่าแอปเปิลจะจ่ายค่าการใช้งานราว 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งทั้ง 2 บริษัท กำลังอยู่ระหว่างขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลง ที่จะเปิดทางให้แอปเปิลสามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ขั้นสูงของกูเกิลได้ *** Qualcomm Inc. ผู้ผลิตชิปสมาร์ตโฟนรายใหญ่ที่สุดของโลก กลายเป็นบริษัทเซมิคอนดักเตอร์อีกรายที่ประกาศแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่งเกินคาด แต่กลับไม่สามารถสร้างความตื่นเต้นให้กับนักลงทุนได้ แม้บริษัทจะเปิดเผยว่ายอดขายและกำไรในไตรมาสถัดไป สูงกว่าคาดการณ์ แต่ราคาหุ้นของ Qualcomm ยังร่วงลงกว่า 2% ในการซื้อขายหลังปิดตลาด ซึ่งสะท้อนรูปแบบเดียวกับบริษัทชิปรายอื่นในช่วงนี้ แม้ Qualcomm จะไม่ได้ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “หุ้น AI ดาวเด่น” เท่ากับ Nvidia หรือ AMD แต่ราคาหุ้นของบริษัทได้ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ระดับความคาดหวังของตลาดสูงเกินจริง *** ซาราห์ ฟรายเออร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ OpenAI ระบุว่า บริษัท ยังไม่มีแผนเสนอขายหุ้นต่อสาธารณะ (IPO) ในอนาคตอันใกล้ โดยกล่าวระหว่างการประชุม WSJ Tech Live Conference ว่า “เรื่อง IPO ยังไม่อยู่ในการพิจารณาขณะนี้ เรากำลังมุ่งมั่นพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างมั่นคงตามขนาดธุรกิจที่ขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ และไม่ต้องการให้กระบวนการ IPO กลายเป็นสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจของเรา” ก่อนหน้านี้ มีรายงานว่า OpenAI กำลังเตรียมตัวสำหรับการเสนอขายหุ้น IPO ซึ่งอาจมีมูลค่าบริษัทสูงสุดถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแหล่งข่าวระบุว่า ฟรายเออร์เคยบอกกับผู้ใกล้ชิดว่าบริษัทตั้งเป้าเข้าจดทะเบียนในปี 2027 ขณะที่ที่ปรึกษาบางรายคาดว่าอาจเกิดขึ้นได้เร็วกว่านั้นคือช่วงปลายปี 2026 
|