"บมจ.กลุ่มสมอทอง (SMO)" เคาะราคาขาย IPO จำนวน 231.60 ล้านหุ้น ที่ 5.40 บ./หุ้น จองซื้อ 31 ต.ค. และ 3-4 พ.ย.68 คาดเข้าซื้อขาย SET วันแรก 10 พ.ย.นี้ พร้อมแต่งตั้ง บล.ฟินันเชีย ไซรัส เป็นล็ดอันเดอร์ไรท์เตอร์ พร้อมโคอันเดอร์ไรท์ 11 แห่ง นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายของบริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO เปิดเผยว่ามีการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 231.60 ล้านหุ้น ไว้ที่ระดับ 5.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นมูลค่าการระดมทุนในครั้งนี้ประมาณ 1,250 ล้านบาท โดยจะเปิดจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 31 ด.ค. และ 3-4 พ.ย.68 พร้อมคาดว่าจะเข้าซื้อขายในดลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในวันที่ 10 พ.ย.นี้ ทั้งนี้การกำหนดราคาเสนอขายดังกล่าวคิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E Ratio) ที่ 7.6 เท่า โดยบริษัทมีกำไรต่อหุ้นในรอบ 12 เดือนล่าสุด (ตั้งแต่เดือน ก.ค.67 ถึง มิ.ย.68) ซึ่งเท่ากับ 650.32 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดจำนวน 920,000,000 หุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นอยู่ที่ 0.71 บาทต่อหุ้น (Fully Diluted) ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนในดลาดหลักทรัพย์ฯในกลุ่มอุดสาหกรรมเดียวกันที่มีอัตรา P/E Rato เฉลี่ยอยู่ที่ราว 9.8 เท่า สะท้อนถึงศักยภาพการเดิบโดและความน่าสนใจของหุ้น SMAD ในเชิงมูลค่า อย่างไรก็ตามบริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิ ขณะที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่สัดส่วนกว่า 97% หรือคิดเป็นจำนวน 153 ล้านหุ้น สมัครใจติดติดไซเรน พีเรียด (Silent Period) ตามกฎเกณฑ์ด้วยการดำเนินการล็อคอัพ (lock-up) หุ้นทั้งหมดในช่วง 6 เดือน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุนว่ากลุ่มผุ้ถือหุ้นใหญ่จะไม่ขายหุ้นออกมา และมีหุ้นที่ไม่ติด Silent Period เหลือเพียงจำนวน 28.4 ล้านหุ้น "เรามั่นใจในศักยภาพของ SMO ที่มีพื้นฐานธุรกิจแข็งแกร่ง ทั้งด้านผลประกอบการ การบริหารจัดการ และแผนการลงทุนเพื่อเดิบโดอย่างยั่งยืน ขณะที่การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน" นายสมภพ กล่าว 
นายกิตติพงษ์ พวงมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO กล่าวว่าการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จำนวน 1,250 ล้านบาท ไปรองรับการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันปาล์ม ที่โรงงาน อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี อีก 30% ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 315 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง ภายในต้นปี 69 และการก่อสร้างโรงงานกลั่นน้ำมันปาล์ม ในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างแห่งใหม่ ซึ่งคาดเพิ่มกำลังการผลิตแตะ 390 ผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 71 ซึ่งจะสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นราว 30% ต่อปี นับตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตามการเติบโตของผลประกอบการ นอกจากจะเป็นไปตามปริมาณการจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบแล้ว ยังขึ้นอยู่กับราคาขายน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่อิงกับราคาในตลาดโลก ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการควบคุมต้นทุน โดยมีความมั่นใจในการจัดหาวัตถุดิบ จากแหล่งที่เหมาะสม หรือมีคุณภาพ เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะหนุนการเติบโตทั้งรายได้และกำไร บริษัทดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ และผลิตภัตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง รวมถึงธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพที่จำหน่ายให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยมีกำลังการผลิตรวมกว่า 240 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมง และผลิตไฟฟ้ารวม 14.38 เมกะวัตต์ (PPA) 12.7 เมกะวัตต์ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคงทั้งด้านอาหารและพลังงานให้ประเทศ ด้านจุดแข็งสำคัญของ SMO คือ ประสบการณ์ในการทำธุรกิจอย่างยาวนาน และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านของผู้บริหารแต่ละท่านที่รวมกันได้อย่างลงตัว มากกว่า 20 ปี เป็นผลให้กลุ่มบริษัทสามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ต่อเนื่อง โดยมีช่องทางในการขายสินค้าทั้งในและต่างประเทศช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการขาย และลดการพึ่งพิงการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับมีฐานลูกค้าเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และรวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยน้ำมัน (Roundtable Sustainability Palm Oil: RSPO) บริษัทมีกลยุทธ์หลัก คือ ทำเลโรงงานที่ตั้งใกล้แหล่งวัตถุดิบสำคัญ 4 แห่งประกอบด้วย 1. โรงงาน อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี ที่สามารถรับซื้อผลปาล์มสดจากภาคได้ฝั่งตะวันออกของประเทศไทย 2. โรงงาน อ.พนม จ.สุราษฎร์ธานี ฐานในการผลิตเพื่อส่งออกของกลุ่มบริษัทเนื่องจากมีพื้นที่อยู่ใกล้กับท่าเรือน้ำลึกจังหวัดภูเก็ต 3. โรงงาน จ.สระบุรี สามารถรับซื้อผลปาล์มสดจากภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 4. โรงงาน AL จ.ชุมพร สามารถรับซื้อผลปาล์มสดภาคใต้ตอนบนของประเทศไทย "หลังจากแต่งตั้งอันเดอร์ไรท์เตอร์ และกำหนดราคาเรียบร้อยแล้ว SMO พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อยกระดับองค์กรส์ผู้นำอุตสาหกรรมนำมันปาล์มของไทย มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ สร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและยั่งยืนให้ผู้ถือหุ้น และเติบโตไปพร้อมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม" นายกิตติพงษ์ กล่าว ดร.สมภพ ศักดิ์พันธ์พนม ประธานกรรมการ บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน (FA) ของ SMO กล่าวว่าได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก หรือ IPO โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และมีบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ร่วมเป็นผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย นายสมศักดิ์ ศิริชัยนฤมิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด หรือ APM ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่าการเสนอขายหุ้น IPO ของ SMO ครั้งนี้มีจำนวน 231.60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หรือพาร์หุ้นละ 1 บาท คิดเป็น 25.17% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อใช้ลงทุนเพิ่มในธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำมันปาล์มดิบ ลงทุนในโครงการปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม รวมถึงชำระคืนเงินกู้และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ สะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงปี 65 - 67 บริษัทมีรายได้รวม 6,870.42 ล้านบาท, 5,894.14 ล้านบาท และ 6,261.09 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น โดยปี 65 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 129.52 ล้านบาท ส่วนปี 66 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 218.78 ล้านบาท และปี 67 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 259.62 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 1.89%, 3.71% และ 4.14% ตามลำดับ
นอกจากนี้สำหรับงวด 6 เดือนปี 68 บริษัทมีรายได้รวม 4,965.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42.58% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 518.51 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 10.55% โดยกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 305% จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง 
|