GUNKUL มั่นใจกำไรปีนี้โต 2 หลัก รับรายได้แตะ 1 หมื่นล้านบาท หลังไตรมาส 4/68 เตรียมบุ๊กรายได้จากธุรกิจก่อสร้างเพิ่มเติม พร้อมคงเป้า 3 ปี รายได้ 3.5 หมื่นล้านบาท เดินหน้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าแตะ 2,000 เมกะวัตต์ แย้มเล็งออกหุ้นกู้ใหม่ ชดเชยหุ้นกู้ที่ครบกำหนดปีหน้าราว 1,500 ล้านบาท นางสาวนฤชล ดำรงปิยวุฒิ์ Chief Executive Officer บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยในงาน "Opportunity Day" ว่าบริษัทมั่นใจว่ากำไรปีนี้จะมีการบริหารให้เติบโตในตัวเลข 2 หลัก จากปีก่อนได้อย่างแน่นอน จากรายได้คาดทำได้ตามเป้า 10,000 ล้านบาท หรือโต 10-15% เพราะในช่วงไตรมาส 4/68 จะมีรายได้จากธุรกิจก่อสร้างบันทึกเข้ามาเพิ่มเติม 
แนวโน้มผลประกอบการในงวดไตรมาส 4/68 พบว่าธุรกิจหลักยังมีแนวโน้มเชิงบวกอยู่ แม้รายได้อาจไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมดของบริษัทได้ เนื่องจากมีโรงไฟฟ้าหลายโครงการและส่วนใหญ่ไม่ได้มีการบันทึกงบเข้ามาในงบการเงินรวม แต่บันทึกเป็นส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน หนุนกำไรออกมาดี บริษัทคงเป้าหมายในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 68-70) คาดรายได้รวมจะแตะ 35,000 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 10-15% และก้าวเข้าสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ New S-CURVE เพื่อรองรับการเติบโตของโครงสร้างพื้นฐานครบวงจร รวมถึงวางเป้าขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าสะสมแตะ 2,000 เมกะวัตต์ (MW) ภายในปี 70 ด้านสัดส่วนกำไรในปัจจุบัน มาจากธุรกิจโรงไฟฟ้าประมาณ 75%, ธุรกิจก่อสร้างราว 12-13% และที่เหลืออีก 12-13% มาจากธุรกิจโรงงานของบริษัท ซึ่งแนวโน้มในอนาคตคาดว่าธุรกิจ New S curve จะเข้ามาเพิ่มเติมอีกประมาณ 5-10% ภายใน 3 ปีข้างหน้า และธุรกิจอื่นๆสัดส่วนจะลดลงตามลำดับไป และเชื่อว่าหากโรงไฟฟ้าต่างๆ COD หมดแล้ว บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้จกธุรกิจโรงไฟฟ้ามากกว่า 80% และกำไรจากธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าจะลดลงตามสัดส่วนในอนาคต บริษัทยังคงเหลืองบลงทุนในธุรกิจกัญชง และบริษัทไม่ได้มีการขยายการลงทุนเพิ่มเติม แต่ยังคงรักษาไว้เพื่อให้มีผลกระทบต่องบการเงินของบริษัทน้อยที่สุด เช่น การพยายามรักษารายได้หรือกำไรมาชดเชยกำไรขั้นต้นที่ต้องมาตัดในแต่ละไตรมาส นายฐิติพงศ์ เตชะรัตนยืนยง Chief Financial Officer (CFO) GUNKUL กล่าวว่า การป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน บริษัทได้เลือกเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าจากสกุลเงินดอลลาร์เป็นค่าเงินหยวนแทน ซึ่งคลายความกังวลได้ค่อนข้างมาก เพราะความผันผวนของค่าเงินหยวนเทียบกับค่าเงินบาทนั้นน้อยกว่าสกุลเงินดอลลาร์ ทำให้บริษัทสามารถบริหารจัดการได้ดีพอสมควร ขณะที่ปี 69 บริษัทมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดประมาณ 1,500 ล้านบาท มองว่าหากช่วงเวลานั้นอัตราดอกเบี้ยของการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ถูกกว่าตลาดทางการเงิน บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทน ทำให้ต้องบริหารจัดการต้นทุนทางการเงินให้ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สะท้อนได้จากในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าต้นทุนการเงินของบริษัทปรับตัวลดลงกว่า 10% |