สถาบันการเงินรายใหญ่ของวอลล์สตรีท อาทิ มอร์แกน สแตนลีย์, ซิตี้กรุ๊ป และโกลด์แมน แซคส์ มองว่าตลาดหุ้นอินเดีย มีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวในปีหน้า เมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ หลังผลประกอบการยังมีเสถียรภาพ ขณะที่มาตรการสนับสนุนเชิงนโยบายเริ่มส่งผลช่วยพยุงเศรษฐกิจ ตลาดการเงินของอินเดียตามมาตลาดอื่น ๆ อย่างชัดเจนในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นซึ่งร่วงตามหลังประเทศคู่แข่งในอัตรากว้างที่สุดในรอบกว่า 30 ปี สกุลเงินรูปีที่อ่อนค่ามากที่สุดในเอเชีย และพันธบัตรที่ยังถูกกดดันจากอุปทานหนี้รัฐบาลจำนวนมาก อีกทั้งยังถูกการบังคับใช้ภาษีสินค้าของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดที่สุดในเอเชีย ซึ่งกระทบกำไรผู้ส่งออกและชะลอการไหลเข้าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มแรงกดดันต่อสภาพคล่อง แม้ภาพรวมปี 2025 จะอ่อนแรง แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวบ้างแล้ว ทั้งมาตรการสนับสนุนการเติบโตและการที่นักวิเคราะห์ชะลอการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งช่วยให้ความเชื่อมั่นกลับมาฟื้นตัวขึ้น โดยนักลงทุนบางส่วนยังเริ่มจัดพอร์ตเพื่อรอการหมุนเงินออกจากกระแสลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งอาจเป็นแรงหนุนให้เงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดที่พึ่งพาเทคโนโลยีน้อยกว่า อย่างอินเดีย แองเจลา แลน นักกลยุทธ์อาวุโสจาก State Street Investment Management ระบุว่า “การฟื้นตัวมีความเป็นไปได้มากขึ้นในปี 2026 รอบการปรับลดกำไรส่วนใหญ่ผ่านพ้นไปแล้ว และมาตรการนโยบาย การลดดอกเบี้ยและการปรับโครงสร้าง GST เริ่มส่งผลต่อการบริโภคและสินเชื่อ” ในปีนี้ ดัชนี MSCI India เพิ่มขึ้น 8.2% แต่ยังคงตามหลังดัชนีตลาดเกิดใหม่โดยรวมในช่องว่างที่กว้างที่สุด นับตั้งแต่ปี 1993 หากส่วนเกินผลตอบแทนจากหุ้นธีม AI เริ่มอ่อนแรง การหมุนเงินออกจากหุ้นเทคโนโลยีอาจช่วยให้ตลาดอินเดียลดช่องว่างลงได้ 
ด้านอเล็กซานเดอร์ เรดแมน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์หุ้นโลกของ CLSA ระบุว่า อินเดียยังถูกพูดถึงในฐานะที่พักเงิน ที่หมุนออกจากเอเชียเหนือ โดยมองว่าการอ่อนแรงของเทรน AI น่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งอาจทำให้ตลาดอินเดียดูน่าสนใจขึ้น ขณะเดียวกัน ค่าเงินรูปีร่วงแตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนพ.ย. และอ่อนค่าแล้ว 4.3% ในปีนี้ แต่ ING Bank ประเมินว่าเป็นสกุลเงินในภูมิภาคที่มีโอกาสรีบาวด์มากที่สุด ด้านแอนเดอร์ส แฟเกอร์แมน ผู้จัดการพอร์ตของ PineBridge Investments ชี้ว่าตลาดพันธบัตรและค่าเงินรูปี จะได้รับประโยชน์จากบรรยากาศโลกที่นิ่งขึ้นและผลตอบแทนจาก Carry trade ที่สูง โดยมุมมองดังกล่าว สอดคล้องกับถ้อยแถลงของผู้ว่าการธนาคารกลางอินเดีย ซันเจย์ มัลโฮตรา ซึ่งระบุว่าค่าเงินรูปีมักอ่อนค่าราว 3%–3.5% ต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่นักลงทุนบางรายใช้เป็นกรอบประเมินจุดที่แรงขายอาจเริ่มชะลอ แม้ปี 2025 เศรษฐกิจอินเดีย จะเผชิญแรงกระแทกหลายด้าน แต่ยังเติบโต 8.2% ในไตรมาสเดือนก.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยข้อมูลล่าสุดยังระบุว่า IMF ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของปีงบประมาณถัดไปลงเหลือ 6.2% จากเดิม 6.4% ตามผลกระทบจากภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ผลประกอบการของบริษัทก็เริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว กำไรของ 100 บริษัทใหญ่ เติบโต 12% ในไตรมาส 3 สูงกว่าที่คาดเล็กน้อย และถือเป็นครั้งแรกในหลายไตรมาส ที่ไม่มีการปรับลดประมาณการ ขณะที่ดัชนี Nifty 50 ทำจุดสูงสุดใหม่ชั่วคราวเมื่อวันที่ 20 พ.ย. สูงกว่าจุดสูงสุดเดิมในเดือนก.ย. 2024 มุมมองของนักวิเคราะห์ดังกล่าวสะท้อนถึงการพลิกขั้วสำหรับตลาดหุ้นอินเดีย จากที่ถูกมองว่าโดดเด่นเมื่อเทียบกับตลาดเกิดใหม่อื่น ๆ ก่อนจะถูกผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยการชะลอตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลกระทบของภาษีทรัมป์ ที่ฉุดค่าเงินรูปีและทำให้กระแสเงินทุนต่างชาติซบเซา ทำให้ตลาดอินเดียปีนี้อ่อนแรงลงไปมาก ที่มา Bloomberg 
|