ธปท.เตรียมออกประกาศภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ หนุนตั้ง JV AMC แก้หนี้ NPL ด้านความคืบหน้ารับซื้อหนี้ประชาชนต่ำแสนบาท คาดได้ข้อสรุป 1-2 สัปดาห์นี้ ดึง SAM-BAM-Ari เข้าร่วม นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยในงาน BAM SYMPOSIUM NEW ERA OF AMC พลิกฟื้นสินทรัพย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยว่า ยอมรับว่า ภายใน 2-3 สัปดาห์นี้ ธปท.เตรียมจะออกประกาศเรื่องบริษัทร่วมทุนสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ JV AMC ให้สถาบันการเงินมาร่วมลงทุนจัดตั้ง JV AMC กับ AMC ปัจจุบันที่ดำเนินการอยู่ปัจจุบัน ซึ่งประกาศนี้หมดอายุไปเมื่อปีที่ผ่านมา โดยหวังว่าประกาศดังกล่าวที่จะออกมา จะทำให้มีการจัดตั้ง JV AMC ช่วยคน ช่วยเอสเอ็มอีที่มีปัญหามากขึ้น และหวังว่าจะทำให้เกิด AMC ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และการดำเนินการที่ Active มากขึ้นกว่าปัจจุบัน 
“เราอยากเห็น AMC Active มากขึ้นกว่าครึ่งจาก 45 ราย อยากเห็นพอร์ตการซื้อ NPL ที่มากขึ้นกว่า 10% เป็น 20-30% ของยอด NPL และอยากเห็นการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรมจาก AMC และเชื่อมั่นว่า BAM ที่เป็นผู้นำในตลาดนี้จะมีบทบาทสำคัญ โดย BAM มีส่วนแบ่งทางการตลาด ประมาณ 45% ของทั้งตลาด ขณะที่ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM มีสัดส่วนประมาณ 15% ของทั้งตลาด ดังนั้นหวังว่า BAM จะขยายบทบาทในการช่วยคนได้ และเชื่อมั่นว่า เวลา AMC เหล่านี้ทำการเจรจาหนี้อย่างผ่อนปรนมากขึ้นได้กำไรพอเหมาะแล้ว คืนกำไรให้กับผู้ถือหุ้นแล้ว ช่วยคน ช่วยสังคม ลดหนี้ และช่วยแก้ไขปัญหาให้กับครัวเรือนด้วย”นายวิทัย กล่าว ***หนุน AMC เข้าเครดิตบูโร มอง BAM เป็นกำลังหลักช่วยแก้หนี้ NPL นายวิทัย กล่าวว่า ขณะเดียวกันอยากให้ AMC เข้าเครดิตบูโร ซึ่งหากเข้าทั้งหมด จะทำให้ฐานข้อมูลชัดเจนขึ้น เวลาแก้หนี้สำคัญสามารถกลับเข้าสู่ระบบได้ และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ต่อไป โดยปัจจุบัน BAM ได้เข้าไปอยู่ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโรแล้ว และเชื่อมั่นว่า BAM จะเป็นกำลังหลักและกำลังสำคัญในเรื่องนี้ ขณะที่ความคืบหน้าของมาตรการผลักดัน AMC แก้หนี้ประชาชนที่ต่ำกว่า 100,000 บาทนั้น ซึ่ง ธปท.ร่วมกับกระทรวงการคลัง สมาคมธนาคารไทยในการดำเนินการ โดยคาดว่าภายใน ภายใน 1-2 สัปดาห์นี้จะได้ข้อสรุป ซึ่งหากเจรจาสำเร็จจะสามารถโอนหนี้ครัวเรือนที่ต่ำกว่า 100,000 บาท ซึ่งปัจจุบันมีทั้งสิ้นประมาณ 4 ล้านราย โดยตั้งเป้าหมายในการดำเนินการเฟสแรก 1.5-2 ล้านราย โดยการโอนหนี้ NPL ของธนาคารพาณิชย์ , บริษัทลูก (Non Bank) ของธนาคารพาณิชย์ และส่วนที่อยู่ในสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้าไปอยู่ใน SAM ซึ่งจะเปลี่ยนเป็น Social AMCและ Ari-AMCและอีกส่วนหวังว่า BAM จะรับไปพิจารณาดำเนินการ สำหรับกลุ่มลูกค้า 1.5-2 ล้านรายที่จะดำเนินการในเฟสแรก จะเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ 700,000 ราย ลูกหนี้ของนอนแบงก์ ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารพาณิชย์ 800,000 ราย และส่วนที่เหลือเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 400,000-500,000 ราย นายวิทัย กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 3-4 ปีนี้จะชะลอตัวลงบ้าง โดยทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวได้ 2.2% ขณะที่ปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวได้ 1.6% เท่านั้น ซึ่งเป็นผลจากต้นปีนี้มี Front load เข้ามามากกว่าปกติ “เศรษฐกิจในภาพรวม โดยเป็นปีที่เศรษฐกิจไม่ดีอย่างที่เคยเป็นมา จีดีพีปีนี้โดยภาพรวมครึ่งปีแรกเติบโต 3% ซึ่งจากเร่งการส่งออกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ครึ่งปีหลังเราทราบสถานการณ์ดี ที่อาจอยู่ในสถานะที่ชะลอตัวลงบ้างในช่วงไตรมาส 3-4 และจะเริ่มเห็นการกลับมาดีขึ้นในไตรมาสแรกปีหน้า”นายวิทัย กล่าว นายวิทัย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจ และโครงสร้างเรื่องอื่นๆ แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศจริงๆ เช่น เรื่องการเข้าสู่สังคมสูงอายุ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางการเงิน ปัญหาเรื่องการศึกษา ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ที่เป็นปัญหาสำคัญจริงๆ และหากไม่สามารถก้าวข้าม หรือแก้ไขปัญหาได้ การเติบโตเศรษฐกิจ หรือความกินดีอยู่ดีของประชาชนจะมีความยากลำบากไปเรื่อยๆ นั่นก็คือหนี้ครัวเรือน “ปัจจุบันหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ 86-87% ซึ่งลดลงมาจากฐานจีดีพีที่โตขึ้น ยอดหนี้ที่โต โดยหนี้ครัวเรือนมีผลทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยลดลง กำลังซื้อไม่ได้แข็งแรง ไม่มีเงินลงทุนเพิ่ม โดยใน 86% มีที่น่าให้ความสำคัญ คือ เริ่มมีการผิดนัดชำระ ทั้งส่วนที่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) แล้วเกือบ 4% หรือ เป็นส่วนเริ่มผิดนัดชำระ มี 8-9% รวมกันประมาณ 11-12% ส่วนนี้สำคัญมาก ซึ่งมันเลยปัญหาหนี้ครัวเรือน แต่มันคือปัญหาของหนี้เสียและไม่ใช่สิ่งที่มากดดันการบริโภค แต่เป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ของคน ความสามารถในการประกอบธุรกิจเอสเอ็มอี หากไม่เร่งแก้อย่างจริงจัง จะทำให้โอกาสในการทำอะไรต่อไป หรือทำให้จีดีพีสูงขึ้น จะมีตัวเหนี่ยวรั้งตลอดเวลา”นายวิทัย กล่าว นายวิทัย กล่าวว่า สำหรับปัญหาเชิงโครงสร้าง หรือ ปัญหาหนี้ NPL มองว่า AMC จะมีบทบาทมาก โดยปัจจุบันมี AMC ทั้งสิ้นประมาณ 90 แห่ง โดยมีที่กำลัง Active หรือการโอนสินทรัพย์หรือดำเนินธุรกิจจริง ประมาณ 45 แห่งเท่านั้น โดย AMC มีบทบาทมาก เพราะสามารถดูดซับ NPL ได้ ดังนั้นเวลามี NPL จะมี AMC ไปรับซื้อเข้ามาบริหารจัดการ และนำมาปรับโครงสร้าง เรียกมาชำระในอัตราที่ผ่อนปรนได้ โดยผ่อนปรนที่ต่ำกว่าตอนอยู่กับสถาบันการเงินได้ เป็นต้น ซึ่งทำให้หนี้เสียกลับมาเป็นหนี้ดีได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา AMC มีการดูดซับ NPL สูงสุดถึง 20% ของ NPL ทั้งหมด แต่ปัจจุบันลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 10% ดังนั้นสิ่งที่อยากเห็นในอนาคต คือ อยากให้ AMC มีบทบาทมากขึ้น และขยายบทบาทมากขึ้น เพราะเป็นจิ๊กซอลสำคัญที่จะแก้ไขปัญหาหนี้สิน ลดกระบวนการฟ้องร้อง ลดปัญหาทางสังคม แก้หนี้ครัวเรือนได้ด้วย ***BAM มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยแนวคิด รีไซเคิลธุรกิจ ฟื้นลูกหนี้ที่มีศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ นายรักษ์ วรกิจโภคาทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยในงาน BAM SYMPOSIUM NEW ERA OF AMC ในหัวข้อ AMC กับบทบาทการพลิกฟื้นสินทรัพย์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยว่า ท่ามกลางสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเผชิญแรงกดดันจากหนี้ครัวเรือนและหนี้ SME ที่อยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ BAM ในฐานะผู้นำธุรกิจบริหารสินทรัพย์ของประเทศ ต้องการใช้เวทีนี้เป็นพื้นที่สร้างความเข้าใจร่วมกันว่าบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ไม่ได้เป็นเพียงผู้จัดการหนี้หรือขายทรัพย์เท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นฟันเฟืองสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจ กระตุ้นการลงทุน และพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน “BAM ไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ แต่เป็นผู้สร้างคุณค่าใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจ ผ่านการพลิกฟื้นหนี้เสียให้กลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างมูลค่า เปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส และสร้างสมดุลใหม่ให้กับระบบเศรษฐกิจไทย”นายรักษ์ กล่าว นายรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางการดำเนินงานของ BAM ว่า ภายใต้วิสัยทัศน์ New Era - Business Recycling Machine BAM มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจด้วยแนวคิด รีไซเคิลธุรกิจ ฟื้นลูกหนี้ที่มีศักยภาพ และเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ สร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนเพื่อสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ 3P ได้แก่ People : ใส่ใจผู้ถือหุ้น ลูกหนี้ และพนักงาน เพื่อสร้างสมดุลแห่งคุณค่า Partnerships : สร้างพันธมิตรทางธุรกิจ ร่วมเพิ่มมูลค่าทรัพย์ และขยายฐานการลงทุน Platforms : นำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI มาใช้ยกระดับประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ทั้งนี้ BAM ยังเดินหน้าสู่โอกาสใหม่ขององค์กรด้วยบทบาท ที่ปรึกษาแก้หนี้อย่างยั่งยืน, ผู้พัฒนา NPA ให้เป็น Investment of Choice / Property for All, และการเติบโตสู่ Green & Sustainable BAM ที่สร้างคุณค่าให้แก่ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม “เราตั้งใจให้ BAM เป็นศูนย์กลางการบริหารสินทรัพย์ ที่ไม่เพียงแก้ปัญหาหนี้ แต่ยังสร้างคุณค่าและโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”นายรักษ์ กล่าว 
|