*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) ปิดที่ระดับ 61.04 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.51% สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ (Brent) ปิดที่ระดับ 65.16 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.72% ราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้นราว 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในวันอังคาร (11 พ.ย.) จากผลกระทบของมาตรการคว่ำบาตรรอบล่าสุดของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซีย รวมถึงความคาดหวังว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะยุติภาวะชัตดาวน์ในเร็ว ๆ นี้ *** เวลส์ ฟาร์โก (Wells Fargo) ปรับเพิ่มเป้าหมายดัชนี S&P 500 สิ้นปี 2025 ขึ้นเป็น 7,100 จุด โดยให้เหตุผลว่าตลาดเริ่มส่งสัญญาณซื้อแบบสวนกระแส และสภาพคล่องทางการเงินมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น นักวิเคราะห์ของเวลส์ ฟาร์โก เปิดเผยว่า ตัวชี้วัดความเชื่อมั่นของบริษัท (Sentiment Indicator) ลดลงสู่ระดับ -0.99 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ใกล้เคียงกับระดับ -1.00 ซึ่งในอดีตมักเป็นจุดเริ่มต้นของสัญญาณเข้าซื้อในตลาดหุ้น *** สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางกลับเข้าสู่กรุงวอชิงตันในวันอังคาร (11 พ.ย.) หลังหยุดพักนาน 53 วัน เพื่อเตรียมลงมติในร่างกฎหมายที่จะยุติภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ประเทศ โดยการเดินทางกลับของสมาชิกรัฐสภา เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายของระบบขนส่งทางอากาศทั่วประเทศ โดยมีเที่ยวบินถูกยกเลิกเกือบ 1,200 เที่ยวในวันเดียว เนื่องจากผลกระทบจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศที่ต้องทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง *** ภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้สร้างความปั่นป่วนต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างหนักในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้มีเที่ยวบินถูกยกเลิกนับหมื่นเที่ยว และกระทบต่อความหวังของสายการบินที่คาดว่าจะมียอดจองเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ซึ่งเป็นฤดูกาลท่องเที่ยวสำคัญของสหรัฐฯ บริษัทวิเคราะห์การบิน Cirium ระบุว่า อัตราการเติบโตของยอดจองในช่วงวันหยุดเทศกาล Thanksgiving ลดลงกว่าครึ่ง เหลือเพียงราว 1% นับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค. สะท้อนถึงความลังเลของนักเดินทางขณะที่ภาวะชัตดาวน์ยังคงยืดเยื้อ *** ADP เปิดเผยว่า ภาคเอกชนของสหรัฐฯ มีการปลดพนักงานเฉลี่ยมากกว่า 11,000 ตำแหน่งต่อสัปดาห์ ในช่วงปลายเดือนต.ค. ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานกำลังชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) เฝ้าติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงิน แม้รายงานของ ADP เมื่อสัปดาห์ก่อน จะระบุว่า สหรัฐฯ มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นสุทธิ 42,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค. เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า แต่ข้อมูลประมาณการล่าสุดซึ่งเป็นแบบเรียลไทม์สะท้อนให้เห็นแนวโน้มรายสัปดาห์ที่เริ่มอ่อนแรงลงอย่างชัดเจน *** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ แต่งตั้งเซอร์จิโอ กอร์ (Sergio Gor) พันธมิตรทางการเมืองคนสนิท เข้ารับตำแหน่งเอกอัครราชทูตประจำกรุงนิวเดลี ท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าและการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งกระทบต่อความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ระหว่าง 2 ประเทศในช่วงที่ผ่านมา โดยทรัมป์กล่าวว่า สหรัฐฯ อาจปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าจากอินเดียในเร็ว ๆ นี้ โดยมองว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อการบรรลุข้อตกลงทางการค้า *** สหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์ กำลังเข้าใกล้บรรลุการลงนามในข้อตกลงการค้าฉบับใหม่ เพื่อปรับลดอัตราภาษีนำเข้าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำหนดไว้ที่ 39% เมื่อเดือนส.ค.ที่ผ่านมา โดยประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกำลังเร่งเจรจาเพื่อหาทางลดภาษีลงเล็กน้อย “ผมยังไม่ได้กำหนดตัวเลขสุดท้าย แต่เรากำลังทำงานเพื่อช่วยเหลือสวิตเซอร์แลนด์” โดยกล่าวย้ำว่าสวิตเซอร์แลนด์เป็นพันธมิตรที่ดีมาก รายงานจากหลายสำนักข่าวระบุว่า ภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกของสวิตเซอร์แลนด์อาจถูกปรับลดลงเหลือ 15% เพื่อให้สอดคล้องกับอัตราภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดกับประเทศในสหภาพยุโรป (EU) *** ธนาคารกลางจีน (People’s Bank of China: PBOC) ประกาศว่า จะส่งเสริมการระดมทุนด้วยเงินหยวนในต่างประเทศมากขึ้น โดยเชื่อว่าต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำและความต้องการใช้เงินหยวนในตลาดนอกประเทศที่เพิ่มขึ้น จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการผลักดันเงินหยวนสู่สกุลเงินระดับโลก ในรายงานประจำปีที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ต.ค. PBOC ระบุว่า การผลักดันบทบาทของเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินสำหรับการระดมทุน ถือเป็นหนึ่งในขั้นตอนสำคัญเพื่อส่งเสริมการใช้เงินหยวนในระดับสากล พร้อมให้คำมั่นว่าจะสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลากหลายรูปแบบ เช่น เงินกู้สกุลหยวน พันธบัตรแพนด้า (Panda Bonds) พันธบัตรสกุลหยวนนอกประเทศ (Offshore Yuan Bonds) และการจัดสินเชื่อทางการค้า เพื่ออำนวยความสะดวกให้สถาบันและบริษัทต่างชาติสามารถเข้าถึงเงินหยวนได้ง่ายขึ้น 
*** JD.com หนึ่งในแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ที่สุดของจีน เผยว่าสามารถทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเทศกาลช้อปปิ้ง “วันคนโสด” (Singles’ Day) ของปีนี้ สวนกระแสความกังวลว่าภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้ออาจทำให้ผู้บริโภคในเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลกลดการใช้จ่าย โดยบริษัทระบุว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเกือบ 60% จากปีก่อนหน้า แม้ไม่ได้เปิดเผยมูลค่ารวมของธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์ม โดย JD.com ยังรายงานด้วยว่าจำนวนผู้ซื้อเพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วซึ่งขยายตัวเพียงกว่า 20% ขณะเดียวกัน Xiaomi Corp. เปิดเผยว่ายอดการชำระเงินรวมจากการขายสินค้าในช่วงเดียวกันสูงกว่า 29,000 ล้านหยวน หรือราว 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ *** BYD ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจีน ตั้งเป้าขายรถยนต์ในตลาดต่างประเทศสูงสุดถึง 1.6 ล้านคันในปี 2026 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะขายได้ราว 900,000–1,000,000 คันในปี 2025 หลังได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวรุ่นใหม่หลายรุ่น โดยแนวโน้มการเติบโตจะได้รับแรงขับจากการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งโครงสร้างยอดขายต่างประเทศของ BYD มีความสมดุลในแต่ละภูมิภาค โดย ยุโรป อเมริกาเหนือ และอาเซียน จะมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายรถยนต์ต่างประเทศทั้งหมดในปี 2026 *** รัฐบาลเม็กซิโก ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าน้ำตาลทุกรูปแบบ เพื่อลดความเสี่ยงจากภาวะน้ำตาลล้นตลาดภายในประเทศ ท่ามกลางราคาน้ำตาลในตลาดโลก ลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยภาษีนำเข้าใหม่กำหนดไว้ที่ 156% ต่อกิโลกรัม สำหรับน้ำตาลทุกประเภท รวมถึงน้ำตาลหัวบีตและน้ำเชื่อม ขณะที่น้ำตาลเหลวบริสุทธิ์จะถูกเก็บภาษีสูงถึง 210.44% ก่อนหน้านี้ เม็กซิโกเก็บภาษีนำเข้าน้ำตาลในอัตราระหว่าง 360–390 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน *** ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในวันอังคาร (11 พ.ย.) โดยเพิ่มขึ้น 0.5% อยู่ที่ 4,136.02 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่านโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงมีลักษณะผ่อนคลาย (dovish) และความไม่แน่นอนด้านการค้าระหว่างประเทศ แม้ว่าความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยจะลดลงจากสัญญาณว่าภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะสิ้นสุดลงก็ตาม ด้าน UBS คาดว่า ราคาทองคำอาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 4,700 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองและตลาดการเงินที่เพิ่มสูงขึ้น ช่วยพยุงความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย แม้ว่าการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ จะสิ้นสุดลงแล้ว จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนดีขึ้นก็ตาม *** ลิซา ซู (Lisa Su) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท แอดวานซ์ ไมโคร ดีไวซ์ (AMD) เปิดเผยว่า รายได้รวมของบริษัทคาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยราว 35% ต่อปีในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า โดยมีแรงหนุนหลักจากความต้องการชิปปัญญาประดิษฐ์ (AI chips) ที่ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยกล่าวว่า การเติบโตส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจศูนย์ข้อมูลด้าน AI ซึ่งคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย ราว 80% ต่อปี ในช่วงเวลาเดียวกัน และจะมีรายได้แตะระดับหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2027 *** บริษัท Rocket Lab ผู้ผลิตดาวเทียมและจรวดเพื่อให้บริการปล่อยดาวเทียม เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ที่แข็งแกร่งเป็นประวัติการณ์ โดยมีรายได้รวม 155 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 48% จากระดับราว 105 ล้านดอลลาร์ในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ผลขาดทุนของบริษัทอยู่ที่เพียง 3 เซนต์ต่อหุ้น ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขาดทุน 10 เซนต์ต่อหุ้น ซึ่งสะท้อนการปรับปรุงประสิทธิภาพต้นทุนและการขยายสัญญาเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Rocket Lab ร่วงลงกว่า 1% หลังจากดีดตัวขึ้นในช่วงต้นของการซื้อขาย ขณะเดียวกัน บริษัทคาดว่ารายได้ในไตรมาส 4 จะอยู่ระหว่าง 170–180 ล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมเปิดเผยว่าบริษัทมียอดสัญญาค้างส่งมากเป็นประวัติการณ์ รวม 49 ภารกิจปล่อยจรวด โดย 17 ภารกิจในจำนวนนั้นมีการเซ็นสัญญาใหม่ในไตรมาสที่ผ่านมา 
|