BH เผยไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 2,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1จากรายได้กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศตะวันออกกลาง เมียนมา และบังคลาเทศ ควบคู่ค่าใช้จ่ายที่ลดลง ส่วน 9 เดือน กําไรสุทธิ 5,626 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.2 นางลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการบริษัท โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์ จํากัด (มหาชน) หรือ BH รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ จํานวน 2,035 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 จาก 1,955 ล้านบาท ในไตรมาส 3/67 ส่งผลให้อัตรากําไรสุทธิเป็นร้อยละ 30.9 เทียบกับร้อยละ 30.3 ในไตรมาส 3/67 บริษัทรายงานรายได้รวม อยู่ที่ 6,582 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 จาก 6,447 ล้านบาท ในไตรมาส 3/67 โดยรายได้จากกิจการโรงพยาบาลอยู่ที่ 6,492 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 จาก6,384 ล้านบาท ในไตรมาส 3/67 เป็นผลหลักจากรายได้กลุ่มผู้ป่วยต่างชาติที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 ซึ่งสามารถชดเชยการลดลงของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยที่ลดลงร้อยละ 1.7 การเพิ่มขึ้นของรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเป็นผลจากการเติบโตของผู้ป่วยจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง (+9.9%), เมียนมา (+21.2%) และบังคลาเทศ (+ 31.2%) ในไตรมาส 3/68 สัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยอยู่ที่ร้อยละ 33.2 ขณะที่รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติอยู่ที่ร้อยละ 66.8 เทียบกับ ร้อยละ 34.3 และ ร้อยละ 65.7% ตามลําดับในไตรมาส 3/67 
บริษัทมีต้นทุนกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) จํานวน 3,061 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.9 จาก 3,089 ล้านบาท ในไตรมาส 3/67 โดยถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเมื่อเทียบกับการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลในอัตราร้อยละ 1.7 เป็นผลให้สัดส่วนของต้นทุนกิจการโรงพยาบาลต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาลลดลงเป็นร้อยละ 47.1 ในไตรมาส 3/68 เทียบกับอัตราร้อยละ 48.4 ในไตรมาส 3/67 ค่าใช้จ่ายในการขาย (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) มีจํานวน 167 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 10.0 จาก 185 ล้านบาท ในไตรมาส /67 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายการตลาดที่ลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) มีจํานวน 890 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.8 จาก 818 ล้านบาท ในไตรมาส 3/67 โดยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น กําไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA) เป็น 2,731 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.5 จาก 2,589 ล้านบาทในไตรมาส 3/7 ส่งผลให้อัตรากําไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย (EBITDA Margin) เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 41.5 บริษัทมีกําไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 2.56 บาท เทียบกับ 2.46 บาท ในไตรมาส 3/67 บริษัทมีกําไรต่อหุ้นแบบปรับลด 2.35 บาท เทียบกับ 2.25 บาท ในไตรมาส 3/67 สําหรับ 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทกําไรสุทธิ ลดลงร้อยละ 4.2 เป็น 5,626 ล้านบาท จาก 5,872 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน อัตรากําไรสุทธิเป็นร้อยละ 29.8 เทียบกับร้อยละ 30.4 ช่วงเดียวกันปีก่อน บริษัทมีรายได้รวม 18,890 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.3 จาก 19,343 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลจํานวน 18,617 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 2.9 เป็นผลจากการลดลงของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติร้อยละ4.3 รวมกับการลดลงเล็กน้อยของรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยร้อยละ 0.2 เป็นผลให้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 34.9 จากทั้งหมด ในขณะที่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างประเทศคิดเป็นร้อยละ 65.1 บริษัทมีต้นทุนกิจการโรงพยาบาล (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) จํานวน 8,964 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.0 จาก 9,244 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเมื่อเทียบกับการลดลงของรายได้จากกิจการโรงพยาบาลในอัตราร้อยละ 2.9 เป็นผลให้สัดส่วนของต้นทุนกิจการโรงพยาบาลต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาลเป็นร้อยละ 48.2 ค่าใช้จ่ายในการขาย (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) จํานวน 470 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.8 ยส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดลดลง ค่าใช้จ่ายในการบริหาร (รวมค่าเสื่อมราคาและตัดจําหน่าย) จํานวน 2,631 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 มาจากค่าใช้จ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น EBITDA ของบริษัทลดลงร้อยละ 3.0 เป็น 7,607 ล้านบาท จาก 7,843 ล้านบาท ในช่วงเดียวกันปีก่อน แล EBITDA Margin คิดเป็นร้อยละ 40.3 เทียบกับร้อยละ 40.5 ในช่วงเดียวกันปีก่อน 
|