SCB คาดเงินบาทจะแข็งค่าได้ในระยะต่อไป แม้อัตราการแข็งค่าจะน้อยกว่าช่วงก่อนหน้านี้ มองกรอบระยะสั้น 31.90-32.40 บาทต่อดอลลาร์ และช่วงปลายปีอาจแข็งค่าต่อไปที่ 31.70-32.20 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมมอง กนง. อาจลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ธ.ค. ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยกลับมาลดลงอีกได้ นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่าเงินบาท ช่วงเดือนที่ผ่านมาเคลื่อนไหวในกรอบที่ประเมินไว้ โดยปัจจัยด้านราคาทองคำมีผลต่อค่าเงินบาทค่อนข้างมาก หลังจากที่ราคาทองคำสูงขึ้นทำระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทองคำในตลาดโลกก็เผชิญแรงเทขายทำกำไร ทำให้ราคาปรับลดลงแรง และพบว่านักลงทุนไทยเทขายทองคำออกมาเช่นกัน โดยแรงขายทองคำกดดันให้เงินบาทปรับอ่อนค่าเร็วในช่วงดังกล่าว นายแพททริกกล่าวเสริมว่าความสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่างเงินบาทและทองคำโดยส่วนใหญ่จะไปในทิศทางเดียวกัน คือ หากราคาทองคำสูงขึ้น มักเห็นเงินบาทแข็งค่าตามการขายทองคำในรูปเงินดอลลาร์เพื่อทำกำไร อย่างไรก็ดี ในบางช่วงอาจพบว่า Correlation เปลี่ยนไป ซึ่งขึ้นอยู่กับมุมมองและพฤติกรรมของนักลงทุน เช่น หากมองว่าราคาทองคำจะขึ้นต่อเนื่อง ก็จะมีแรงซื้อทองคำและเงินดอลลาร์ต่อ กดดันให้เงินบาทอ่อนค่า 
ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศส่งผลทางอ้อม (Indirect effects) มาที่เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเช่นกัน เช่น การอ่อนค่าของเงินเยนและเงินยูโร โดยการแต่งตั้งนายกฯ คนใหม่ของญี่ปุ่นส่งผลให้เงินเยนอ่อนค่า เพราะมีนโยบายเน้นไปที่การเร่งการใช้จ่ายภาครัฐและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ตลาดกังวลเรื่องฐานะการคลัง นอกจากนี้ เงินยูโรก็เผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่า เพราะความกังวลในเรื่องการผ่านกฎหมายร่างงบประมาณปี 2026 ของฝรั่งเศสยังมีความไม่แน่นอนอยู่มาก และไม่สามารถหาข้อตกลงกันได้ เนื่องจากพรรคของนายกฯ คนใหม่มีคะแนนเสียงไม่พอที่จะโหวตผ่านสภา จึงต้องปรับร่างงบประมาณใหม่เพื่อให้ได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านด้วย ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และส่งผลทางอ้อม ทำให้เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงมา ทั้งนี้ ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้น เริ่มจากความกังวลต่อฐานะของธนาคารภูมิภาคในสหรัฐฯ ที่มีการตัดชำระหนี้เสียสูง ทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และยังมีดีลการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ทำให้ Sentiment โดยรวมในตลาดเอเชียปรับดีขึ้น นอกจากนี้ เลขส่งออกไทยออกมาดีกว่าคาดมาก จึงทำให้เงินบาทแข็งค่า สำหรับมุมมองเงินบาทในระยะสั้น คาดว่าจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าได้ต่อเนื่อง เพราะ 1.Fed มีแนวโน้มลดดอกเบี้ย 25 bps ในเดือน ธ.ค. เพราะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ส่งสัญญาณอ่อนแอลงชัดเจนขึ้น สะท้อนจากการปลดพนักงานเอกชนบางแห่ง ซึ่งขณะนี้ตลาดให้โอกาสเพียง 70% ที่ Fed จะลดดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. ดังนั้น หาก Fed ลดดอกเบี้ยตามที่เราคาด จะทำให้ US Treasury yields ลดลง และดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า กดดันให้บาทแข็งค่าได้ 2.เงินยูโรและเงินหยวนมีแนวโน้มแข็งค่าได้ต่อ ซึ่งจะดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลง โดยเป็นผลจากโมเมนตัมเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้นในระยะต่อไป ตามการใช้จ่ายภาครัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งในยุโรปและจีน นายแพททริก กล่าวต่อว่าสำหรับทิศทางเงินเยนโอกาสที่จะอ่อนค่าต่อมีน้อยลง เพราะมีโอกาสที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะเข้าแทรกแซงค่าเงินมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เงินเยนถูกปรับฐานให้แข็งค่าได้ นอกจากนี้ ช่วงปลายปีมีโอกาสที่ BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย โดยอาจขึ้นจริงช่วงต้นปีหน้า ทำให้อาจเห็นเงินเยนเริ่มกลับมาแข็งค่าได้ อัตราการแข็งค่าของเงินบาทอาจไม่มากเท่าในช่วงเดือนก.ย.ที่ผ่านมา เพราะเงินทุนเคลื่อนย้ายมีแนวโน้มไหลเข้าไทยไม่มากเท่าประเทศอื่นในภูมิภาคและการปรับขึ้นของราคาทองคำเริ่มชะลอลงแล้ว จึงหนุนบาทได้ไม่มาก โดยมองกรอบเงินบาท 1 เดือนจากนี้ที่ราว 31.90-32.40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และมองเงินบาทปลายปีมีแนวโน้มแข็งค่าต่ออีกเล็กน้อยที่กรอบราว 31.70-32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่ราว 32.30-32.80 เป็นระดับที่ผู้ส่งออกอาจพิจารณาขายได้ โดยปัจจัยที่อาจทำให้เงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปที่ระดับนี้อาจมาจากการสื่อสารของ Fed ที่ยังกังวลเรื่องเงินเฟ้อและไม่ส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยต่อชัดเจน ซึ่งอาจกดดันให้ดัชนีเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าต่อได้ นอกจากนี้ หากเงินเยนยังอ่อนค่าต่อ และราคาทองคำปรับลดลง ก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าเพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ดี หากเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่ามาที่ราว 31.50-32.00 ผู้นำเข้าอาจพิจารณาซื้อดอลลาร์ได้ โดยหากเลขส่งออกไทยยังออกมาสูงกว่าคาด หรือความขัดแย้งทางการค้าที่ทุเลาลงหลังทรัมป์ทำข้อตกลงการค้าได้ก็อาจสนับสนุน Sentiment ในตลาดเอเชียรวมถึงไทย นอกจากนี้หากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจไทยส่งผลชัดเจนขึ้นอาจทำให้บาทแข็งค่า ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนที่ผ่านมาปรับสูงขึ้นเป็นผลจาก 1.กนง. ไม่ลดดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดไว้ 2.อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรไทยต่ำทำให้ Valuation ต่ำกว่าพันธบัตรประเทศอื่น 3.ความต้องการจากนักลงทุนสถาบันบางกลุ่มทีลดลง รวมถึงมีแรงขายเพื่อทำกำไรจากการถือพันธบัตรรัฐบาลก่อนหน้านี้ 4.ความไม่แน่นอนทางการเมืองและมาตรการรัฐที่ออกมาเพิ่ม 5.Bond supply ช่วงที่ผ่านมามีเยอะในระยะต่อไป แนวโน้ม Yield curve ของไทยอาจปรับชันขึ้น (Steepen) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น (ST yields อายุ 2 ปี) อาจปรับลดลงได้ตามการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในเดือน ธ.ค.และต้นปีหน้า ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (LT yields อายุ 10 ปี) อาจปรับลดลงได้น้อยกว่าจาก Term premium ที่สูงขึ้นมาในช่วงนี้ตาม Demand ที่มีแนวโน้มลดลงและความไม่แน่นอนทางการเมือง รวมถึงนโยบายรัฐที่อาจใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงที่เข้าใกล้การเลือกตั้งใหม่ 
|