ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ ลงนามในมาตรการที่กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ต้องตรวจสอบและทบทวนแนวทางการปฏิบัติต่อไต้หวัน ให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (2 ธ.ค.) ซึ่งเป็นสัญญาณล่าสุดท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นว่า จีนอาจดำเนินการทางทหารต่อไต้หวัน กฎหมายดังกล่าว กำหนดให้กระทรวงการต่างประเทศ ต้องจัดทำการทบทวนอย่างสม่ำเสมอ อธิบายว่าแนวทางปฏิบัติเหล่านี้ ช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและไต้หวันอย่างไร รวมถึงระบุโอกาส ที่จะยกเลิกข้อจำกัดที่สหรัฐฯกำหนดขึ้นเองในการมีปฏิสัมพันธ์กับไต้หวัน โดยต้องจัดทำการประเมินอย่างน้อยทุก 5 ปี แอนน์ แวกเนอร์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน รัฐมิสซูรี และผู้เสนอร่างกฎหมายนี้ ระบุว่า กฎหมายฉบับนี้ “ส่งสารชัดเจนว่าเรายืนหยัดต่อต้านความพยายามอันเป็นอันตรายของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ต้องการครอบงำภูมิภาค” 
การลงนามของประธานาธิบดีทรัมป์ เกิดขึ้นหลังการสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ซึ่งย้ำว่าการรวมชาติเป็นประเด็นสำคัญสูงสุดสำหรับจีน โดยจีนยังคงยืนยันว่า ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนตนเอง ขณะเดียวกัน ก็ยังเกิดขึ้นตามหลังถ้อยแถลงของนายกรัฐมนตรีซานาเอะ ทาคาอิจิ ของญี่ปุ่น ที่ระบุว่า หากจีนพยายามยึดไต้หวันด้วยกำลังทางทหาร อาจเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสถานะที่อาจเปิดทางตามกฎหมายให้กองกำลังญี่ปุ่น เข้ามามีบทบาทหากสถานการณ์บานปลาย ถ้อยแถลงของทาคาอิจิ ซึ่งเป็นการตอบคำถามของสภาและดูเหมือนใช้ตัวอย่างสถานการณ์สมมติด้านความมั่นคง สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับรัฐบาลจีน ทั้งนี้ โดยปกติแล้ว บรรดาผู้นำสหรัฐฯ ยึดแนวทางความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์ต่อประเด็นไต้หวัน ซึ่งหมายความว่าสหรัฐฯ สงวนสิทธิ์ในการใช้กำลัง แต่จะไม่ระบุอย่างชัดเจนว่าจะเข้าช่วยเหลือไต้หวันหรือไม่ หากถูกจีนโจมตี ที่มา Bloomberg 
|