มอร์แกน สแตนลีย์ (Morgan Stanley) คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะยังคงปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในปี 2026 โดยได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง ขณะที่ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะเป็นเพียงปัจจัยชั่วคราว ไมเคิล วิลสัน (Michael Wilson) หัวหน้านักกลยุทธ์จากมอร์แกน สแตนลีย์ ระบุว่า ขณะนี้เริ่มมองเห็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า กำไรภาคธุรกิจกำลังฟื้นตัว โดยบริษัทสหรัฐฯ หลายแห่ง กำลังได้รับอานิสงส์จากอำนาจการกำหนดราคาสินค้าที่ดีขึ้น อีกทั้งแนวโน้มการปรับประมาณการกำไรของนักวิเคราะห์ ก็เริ่มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ซึ่งหมายความว่าจำนวนการปรับลดคาดการณ์เริ่มลดลง เมื่อเทียบกับการปรับเพิ่ม อีกทั้งยังคาดว่า ผลประกอบการของภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง จะเป็นแรงขับเคลื่อนหลักให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ในปี 2026 แม้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยจะยังเป็นความเสี่ยงระยะสั้นก็ตาม “แม้คำแนะนำจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลจะกดดันราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่ทั้งหมดเป็นเพียงอุปสรรคชั่วคราว ก่อนเข้าสู่ปี 2026 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการเติบโตของกำไรอย่างมั่นคง” 
ไมเคิล วิลสัน ยังคงเป็นหนึ่งในนักกลยุทธ์ที่มองเชิงบวกที่สุดในวอลล์สตรีท แม้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะเผชิญแรงกดดันจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศ และภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลที่ยืดเยื้อ รวมถึงท่าทีที่ระมัดระวังของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ที่เคยทำให้บรรยากาศการลงทุนซบเซา อย่างไรก็ตาม สัญญาณเชิงบวกเริ่มชัดเจนขึ้น เมื่อดัชนีฟิวเจอร์สหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นในวันจันทร์ หลังวุฒิสภาเดินหน้าเปิดทางสู่การยุติภาวะชัตดาวน์ ขณะเดียวกัน ผลประกอบการไตรมาส 3 ของบริษัทในดัชนี S&P 500 ก็ออกมาดีกว่าคาด โดยมีกำไรเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเกือบ 15% จากปีก่อน ตามข้อมูลของ Bloomberg Intelligence โดยดัชนี S&P 500 ยังคงปรับเพิ่มขึ้นกว่า 14% นับตั้งแต่ต้นปี 2025 มุ่งหน้าสู่การทำกำไรต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่ดัชนีของซิตี้กรุ๊ป (Citigroup Inc.) แสดงให้เห็นว่า จำนวนของนักวิเคราะห์ที่ปรับเพิ่มประมาณการกำไร มีมากกว่าผู้ที่ปรับลดมาตั้งแต่กลางเดือนต.ค. โดยตลาดเริ่มจับตาผลประกอบการของ Nvidia Corp. ที่จะประกาศในสัปดาห์หน้า เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มของธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ด้านจอห์น สโตลต์ซฟัส (John Stoltzfus) นักกลยุทธ์จาก Oppenheimer Asset Management กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะละทิ้งหุ้นกลุ่มชิปและแนวโน้มการเติบโตของ AI “การอ่อนตัวของราคาหุ้นในช่วงนี้อยู่ในระดับเล็กน้อย มากกว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะขาลงที่รุนแรง ที่มา Bloomberg 
|