ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดแดนบวกในวันพุธ (3 ธ.ค.) โดยดาวโจนส์ปิดเพิ่มขึ้น 408.44 จุด เนื่องจากตลาดยังคงมีความหวังว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า หลังซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ แม้การร่วงลงของหุ้น Microsoft จะจำกัดแรงบวกของตลาดก็ตาม ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดที่ 47,882.90 จุด เพิ่มขึ้น 408.44 จุด หรือ 0.86% ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 6,849.72 จุด เพิ่มขึ้น 20.35 จุด หรือ 0.30% และดัชนีแนสแดค ปิดที่ 23,454.09 จุด เพิ่มขึ้น 40.42 จุด หรือ 0.17% หุ้น Microsoft ร่วงลงถึง 3% หลังมีรายงานว่าบริษัท ลดเป้าหมายยอดขายซอฟต์แวร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) เนื่องจากพนักงานฝ่ายขายจำนวนมาก ทำผลงานไม่ถึงเป้าในปีงบประมาณที่สิ้นสุดเดือนมิ.ย. อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นฟื้นตัวบางส่วน หลัง CNBC รายงานว่า Microsoft ปฏิเสธข่าวดังกล่าว ทำให้ดัชนี S&P 500 และแนสแดคพลิกขึ้นในแดนบวก แต่สุดท้าย Microsoft ยังคงปิดตลาดลดลง 2.5% หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่คำนวณในดัชนี S&P 500 ปรับลดลง 0.4% เป็น 1 ใน 2 กลุ่มที่ปิดในแดนลบ ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับขึ้น 1.8% จากแรงหนุนราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น 
การปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยาวนานเป็นประวัติการณ์ 43 วัน ทำให้นักลงทุนขาดข้อมูลเศรษฐกิจจากทางการอย่างต่อเนื่องและประเมินทิศทางนโยบายการเงินได้ยากลำบาก แต่ปัจจุบันเริ่มมีการทยอยรายงานข้อมูลที่ค้างสะสม ขณะที่ข้อมูลจากภาคเอกชนที่เปิดเผยล่าสุด พบว่า ดัชนีภาคบริการเดือนพ.ย. จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) อยู่ที่ 52.6 แทบไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 52.4 ในเดือนต.ค. ขณะที่ดัชนีราคาที่ผู้ประกอบการต้องจ่าย ชะลอลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับสูง โดยตัวเลขดังกล่าวประกาศออกมาก่อนที่จะมีการรายงานดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญในวันศุกร์ ขณะเดียวกัน รายงานการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ระบุว่า การจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐฯ ประจำเดือนพ.ย. ปรับตัวลดลงเหนือความคาดหมาย โดยลดลงไป 32,000 ตำแหน่ง ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 40,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ นักลงทุนให้ความสำคัญกับข้อมูลจากภาคเอกชนมากกว่าปกติ เนื่องจากรายงานการจ้างงานภาครัฐของเดือนต.ค. และพ.ย. จะประกาศหลังการประชุมนโยบายของเฟด เครื่องมือ FedWatch ของ CME ระบุว่า ตลาดให้น้ำหนักที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ในการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า ขยับขึ้นเป็น 89% เพิ่มขึ้นจากระดับราว 87% ก่อนหน้านั้น ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังจับตารายงานว่ารัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยกเลิกการสัมภาษณ์ผู้เข้าชิงตำแหน่งประธานเฟดรอบสุดท้ายอย่างกะทันหัน ทำให้มีการคาดการณ์เพิ่มขึ้นว่า เควิน แฮสเซตต์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ย อาจขึ้นมารับตำแหน่งแทนเจโรม พาวเวลล์ ที่จะสิ้นสุดวาระในเดือนพ.ค. ปีหน้า ความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ยังผลักดันหุ้นขนาดเล็ก โดยดัชนี Russell 2000 พุ่งขึ้นเกือบ 2% ในวันเดียว ต่อจากสัปดาห์ก่อนที่กระโดดไป 5.5% ซึ่งเป็นสัปดาห์ที่ดีที่สุดในรอบกว่า 1 ปี โดยจิล คาเรย์ ฮอลล์ นักกลยุทธ์ตลาดหุ้นและควอนท์เทรด จาก BofA Securities คาดว่า หุ้นขนาดเล็กจะทำผลงานโดดเด่นในปี 2026 โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการเติบโตของกำไรและวัฏจักรการใช้เงินลงทุน (capex) ที่แข็งแกร่งควบคู่ไปกับการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด ในส่วนของหุ้นรายตัว พบว่าหุ้น Marvell Technology พุ่ง 7.9% หลังประกาศเข้าซื้อกิจการ Celestial AI มูลค่า 3,250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้น Microchip Technology พุ่ง 12.2% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 3 ด้านหุ้น American Eagle Outfitters ทะยาน 15.1% หลังบริษัทปรับเพิ่มประมาณการยอดขายเทียบเคียงทั้งปีจากความต้องการจับจ่ายช่วงเทศกาลวันหยุดที่แข็งแกร่ง ที่มา Reuters 
|