
ย้อนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ที่ผ่านมา มีการพบกันระหว่างผู้นำจีน สี จิ้น ผิง กับ ผู้นำสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ โดยสุดยอดผู้นำทั้งสองสามารถตกลงกันเบื้องต้นได้ในหลายเรื่อง อาทิ การลดอัตรา Tariff จาก Fentanyl ต่อจีน ลงจาก 20% เหลือ 10% ในขณะที่จีนยอมนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐ รวมถึงยอมให้สหรัฐซื้อกิจการ Tik-Tok นอกจากนี้ สหรัฐยอมยกเลิกการตั้ง Blacklist บริษัทจีนที่จะไม่ขาย AI Chip ชั้นสูงให้ ในขณะที่จีนยอมผ่อนคลายกฎเกณฑ์การใช้ Rare Earth ให้กับสหรัฐ เป็นระยะเวลา 1 ปี
ทั้งนี้ โลกกำลังแบ่งเป็น 2 ขั้ว โดยสามารถแบ่งการพิจารณาได้เป็น 2 ช่วงเวลา ได้แก่
ช่วงแรก: ช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ ผมมองว่าจีนจะได้เปรียบสหรัฐใน 1-2 ปีแรก และค่อยๆ อยู่ในสถานภาพใกล้เคียงกันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยรัฐบาลจีนได้เปรียบรัฐบาลสหรัฐเล็กน้อยที่ไม่ต้องคำนึงถึงตลาดหุ้นของตนเองว่าจะร่วงลงมากเท่าสหรัฐ
สิ่งที่จีนต้องการ คือ ตลาดส่งออกสินค้าที่รัฐบาลตนเองทำการอุดหนุนในการผลิต อาทิ EV และ Solar Cell เพื่อระบายสินค้าที่ผลิตไว้มากกว่าดีมานด์ในประเทศ รวมถึงยังมีการแข่งขันกันลดราคา (Involution) จนอยู่ในระดับต่ำกว่าต้นทุน ทำให้จีนเน้นการผูกมิตรกับประเทศที่มีดีมานด์ดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาใต้ แอฟริกา และยุโรปบางประเทศ อาทิ ฮังการี และ สโลเวนีย รวมถึงประเทศในเอเชียที่ไม่ได้เป็นพันธมิตรกับสหรัฐ อาทิ อินโดนีเซีย และเวียดนาม ทำให้ไม่ต้องพึ่งพากำลังซื้อหรือการนำเข้าจากสหรัฐ
ในขณะเดียวกัน จีนก็พัฒนาให้อุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ให้มีความจำเป็นต้องใช้ประเภทแร่ Rare Earth ที่จีนเท่านั้นที่มี ทำให้ความหวังของสหรัฐที่ตั้งใจจะไล่กวดเพื่อตามศักยภาพของแร่ Rare Earth ของจีนให้ทัน มีความยากเย็นและต้องใช้เวลามากขึ้นอีก
เปรียบเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวที่จีนมีสูตรน้ำซุปที่มีหัวเชื้อที่อร่อยจนคู่แข่งตามไม่ทัน แม้ว่าสหรัฐจะมีบริการขนส่งถึงบ้านลูกค้าได้อย่างรวดเร็วมาก ทว่าก็ไม่มีประโยชน์อะไรเมื่อทำก๋วยเตี๋ยวได้ไม่อร่อย
ขั้วที่สอง ซึ่งเก่งในการผลิต AI Chip ที่นำโดยสหรัฐ: ประกอบด้วยพันธมิตรเดิม อย่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น สิ่งที่สหรัฐต้องการ คือ การลงทุนของเหล่าพันธมิตรและประเทศชั้นนำอื่นๆ ของโลกในสหรัฐ รวมถึงการยอมให้สินค้าสหรัฐนำไปจำหน่ายในประเทศเหล่านี้ด้วย Tariff rate ร้อยละศูนย์ ในทางกลับกัน สหรัฐจะเก็บภาษี Tariff กับสินค้านำเข้าของประเทศเหล่านี้ ทั้งนี้ สหรัฐจะส่งออก AI Chip ไปยังประเทศเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเราเข้าสู่โลกยุค AI
ทั้งนี้ สหรัฐยังมีทีเด็ดว่าด้วยการตั้ง Tariff ในส่วนกระแสเงินทุนไหลเข้าออกและตลาดทุนเป็นทีเด็ด และที่สำคัญ ยังมีค่าเงินดอลลาร์ที่เป็นเหมือนอาวุธสำคัญสำหรับการต่อรองในอนาคต โดยบทบาทของประเทศยักษ์ใหญ่ของโลกของอีก 2 กลุ่ม ก็มีความน่าสนใจ ได้แก่
ยุโรป: เหมือนโดนบีบจาก 2 ยักษ์ใหญ่ โดยฝั่งจีนก็บีบไม่ให้แร่ Rare Earth ทำให้ติดขัดในการผลิตรถยนต์ และ สินค้าไฮเทคอื่นๆ ด้านสหรัฐ ก็ไล่บี้จะเก็บ Tariff ต่อสินค้าส่งออกของยุโรป รวมถึงไม่ยอมให้เก็บภาษีดิจิทัลมากเกินไปต่อบริษัท Big Tech ของสหรัฐ แถมยังจะบีบให้เพิ่มงบกลาโหมให้สูงถึง 5% ของจีดีพี
ญี่ปุ่น: ฝั่งจีนได้เผยไต๋ว่า อยากได้สิ่งต่อไปนี้จากญี่ปุ่น ได้แก่
หนึ่ง ข้อตกลงเรื่องไต้หวันระหว่างทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งทำไว้ในข้อตกลงระหว่างกันในปี 1972 ต้องดำเนินการให้เป็นไปอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับญี่ปุ่นยังแน่นแฟ้นเหมือนเดิม นอกจากนี้ การสอบสวนว่าด้วยความโหดร้ายที่ญี่ปุ่นทำไว้กับชาวจีนในอดีตตาม Murayama Statement ต้องให้ความสำคัญอย่างเคร่งครัด และญี่ปุ่นต้องขอโทษต่อชาวจีนที่ได้รับผลกระทบเหล่านั้น
สอง จีนอยากเห็นความร่วมมือระหว่างกันกับญี่ปุ่นในภาคอุตสาหกรรมขั้นสูง เศรษฐกิจดิจิทัล พลังงานสีเขียว ภาคการเงิน และด้านการแพทย์ รวมถึงมีความร่วมมือกันด้านการค้าและ Supply Chain
สาม จีนต้องการให้มีการสื่อสารระหว่างกันในระดับบุคลากรทั้งฝ่ายพรรคการเมืองและสมาชิกสภา เพื่อให้ภาพต่อสาธารณชนมีความแน่นแฟ้นมากขึ้น
สี่ ทั้งจีนและญี่ปุ่น ควรจะเป็นเพื่อนบ้านที่ดีและไม่แทรกแซงเรื่องภายในของอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อช่วยกันสร้างสังคมในเอเชียแปซิฟิกที่ดีขึ้นมา
ห้า ทั้งจีนและญี่ปุ่นสามารถจะเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ แม้จะมีความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องต่างๆ ก็ตามที
ถึงตอนนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ใกล้จะครบวาระประธานาธิบดีของตนเอง ทว่าสี จิ้น ผิง ยังไม่มีลิมิตเวลาในการเป็นผู้นำจีน โดยทรัมป์น่าจะเลือก เจ ดี แวนซ์ , มาร์โก รูบิโอ หรือ สก็อตต์ เบสเสนต์ ขึ้นมาเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกัน ซึ่งก็น่าจะชนะตัวแทนฝั่งเดโมแครตได้ไม่ยากนักในการเลือกตั้งครั้งหน้า
ในแง่ความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างจีนกับสหรัฐในช่วงนั้น น่าจะมีความใกล้เคียงกันมาก โดยในขณะที่จีนอาจจะไม่นำสหรัฐขาดด้าน Rare Earth มากเท่าตอนนี้ ทว่าเทคโนโลยีด้าน AI Chips ก็น่าจะใกล้เคียงกับสหรัฐแบบสูสีมาก โดยบริษัทจีนจะมีเทคโนโลยีเป็นของตนเองแบบสมบูรณ์ในช่วงนั้น หรือที่เรียกกันว่า เฟส Decoupling
อย่างไรก็ดี สี จิ้น ผิง น่าจะมีประสบการณ์มากกว่าผู้ที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำต่อจากทรัมป์ ซึ่งถือว่าจีนได้เปรียบสหรัฐตรงจุดนี้อย่างชัดเจน
โดยสรุป คือ จากนี้ไปจนกระทั่งโดนัลด์ ทรัมป์หมดวาระผู้นำ จีนน่าจะได้เปรียบเล็กน้อยในช่วงต้นๆ จากนั้นจะค่อยๆ สูสีกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าหลังจากทรัมป์หมดวาระผู้นำรอบนี้ จีนน่าจะกลับมาได้เปรียบนิดๆ อีกครั้งหนึ่ง