
ถือว่าเป็นที่เรียบร้อยโรงเรียนญี่ปุ่นไปแล้ว สำหรับ ซานาเอะ ทาคาอิจิ ที่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของญี่ปุ่น บทความนี้ จะขอพูดถึงสมมติฐานสำหรับการลงทุนในตลาดญี่ปุ่นและบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลในรัฐบาลของ ทาคาอิจิ ที่ส่งผลต่อแนวทางการลงทุนในตลาดญี่ปุ่นหรือ Takaichi-Trade
โดยแกนหลักของสมมติฐานสำหรับการลงทุนในตลาดญี่ปุ่นตามแนวทาง Takaichi-Trade คือ
หนึ่ง มีแนวโน้ม ณ ตอนนี้ ว่านโยบายการคลังจะผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง โดยทาคาสีสันจิได้สั่งการให้เพิ่มงบประมาณใหม่เพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซหุงต้มที่เพิ่มขึ้น
สอง ทั้งพรรค Liberal Democratic Party (LDP) และ Japan Innovation Party (JIP) ชื่นชอบการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านกลาโหม ท่ามกลางความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ญี่ปุ่นกำลังเผชิญอยู่
สาม ทั้งพรรค LDP และ JIP ต้องการให้มีเสถียรภาพด้านพลังงาน รวมถึงลดต้นทุนด้านพลังงานด้วยการนำสถานีพลังงานนิวเคลียร์กลับมาใช้
ท้ายสุด ต้องการให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 0.5% ออกไปให้นานที่สุด
ด้านบุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลในรัฐบาลของทาคาอิจิมากที่สุด มีอยู่ด้วยกัน 3 ท่าน ดังนี้
1. ชินจิโร่ โคอิซูมิ ลูกชายของจูนิชิโร่ โคอิซูมิ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ซึ่งเพิ่งพ่ายในการสรรหาผู้นำพรรค LDP ต่อทาคาอิจิ เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปีในแวดวงการเมืองในสภา พร้อมกับการมีสายสัมพันธ์ที่ค่อนข้างดีกับอเมริกา ทั้งจากการจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียและได้ทำงานในองค์กรชั้นนำด้านนโยบายเศรษฐกิจในวอชิงตัน เมืองหลวงสหรัฐ ทำให้โคอิซูมิถือเป็นกุญแจสำคัญในการเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับนโยบายด้านกลาโหม
โดยรัฐบาลของทรัมป์ได้เรียกร้องให้พันธมิตร รวมถึงญี่ปุ่น ทำการใช้จ่ายด้านกลาโหมไม่ต่ำกว่า 5% ของจีดีพี ซึ่งญี่ปุ่นเองมีแผนที่จะใช้จ่ายในส่วนดังกล่าวเพียง 2% ต่อจีดีพี ในปี 2027
ทั้งนี้ โคอิซูมิได้เดินทางไปประชุมด้านนโยบายด้านกลาโหมกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่ถือเป็นเบอร์ 3 ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐ เมื่อต้นปีนี้ โดยเขาย้ำกับสหรัฐว่าเป้าหมายแรกของญี่ปุ่น คือให้สหรัฐจัดส่งอาวุธที่ญี่ปุ่นสั่งซื้อไว้ก่อนหน้านี้
ด้านความท้าทายด้านความมั่นคงในรอบประเทศญี่ปุ่นจากจีน เกาหลีเหนือ และ รัสเซีย ทาคาอิจิได้สั่งการให้โคอิซูมิทบทวนข้อตกลงด้านความมั่นคงกับประเทศเหล่านี้ รวมถึงให้เพิ่มงบประมาณทางการทหารอีกด้วย
2. โทชิมิตซึ โมเทกิ วัย 70 ปี จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 2 ของเขาในตำแหน่งนี้ เคยผ่านการเป็นเลขาธิการพรรค LDP และเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการค้ามาแล้ว โดยโมเทกิถือเป็นบุคลากรระดับแม่เหล็กของพรรค LDP ซึ่งเขาจะเป็นผู้บริหารการเจรจาด้านการค้ากับรัฐบาลสหรัฐ
โมเทกิ เจ้าของฉายา “Trump whisperer” เนื่องจากเคยเป็นผู้เจรจากับทรัมป์ในยุคทรัมป์ 1.0 จะได้กลับมารับงานที่ถนัดอีกคำรบหนึ่ง งานหนักอึ้งคือการช่วยให้คำสัญญาของรัฐบาลญี่ปุ่นที่จะลงทุนมูลค่า $5.5 แสนล้านในสหรัฐเพื่อแลกกับ Tariff ที่ลดลงมาให้สามารถผ่านพ้นไปได้ ซึ่งเขามองว่าโลกเปลี่ยนไปจากยุคก่อนหน้าที่เขาเคยดำรงในตำแหน่งเดียวกันนี้จนถึงเดือนพฤศจิกายน 2021 โดยทั้งสหรัฐ จีน และยุโรป ต่างมีท่าทีด้านความมั่นคงต่อโลกที่เปลี่ยนไปซึ่งทั้งซับซ้อนและเปราะบางไปจากเดิมมาก ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนด้านทหารของจีน, การบุกยึดยูเครนของรัสเซีย และโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ ในแวดวงการฑูตนานาชาติ ต่างคาดหวังท่าทีของญี่ปุ่นให้มีบทบาทมากขึ้นหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ดึงสหรัฐออกจากบทบาทของผู้นำของเวทีโลก ผ่านความร่วมมือกับเครือข่ายด้านการฑูตและการทหารกับออสเตรเลีย, อินเดีย, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ และยุโรป
3. ซัตซูกิ คาทายาม่า วัย 66 ปี ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการคลังซึ่งถือเป็นตำแหน่งสำคัญ ที่นายกฯทาคาอิจิเลือกเธอมากับมือแบบเป็นพิเศษ โดยเธอถือเป็น รมว. คลังหญิงคนแรกของญี่ปุ่น โดยหน้าที่หลักของคาทายาม่าที่ได้รับมอบหมาย คือ การดูแลค่าเงิน การบริหารหนี้สาธารณะ และด้านงบประมาณ
ไฮไลต์สำคัญในด้านความคิดด้านเศรษฐกิจของคาทายาม่า คือค่าเงินที่เหมาะที่สุดสำหรับญี่ปุ่นควรอยู่ที่ 120-130 เยนต่อดอลลาร์ จากในปัจจุบันที่ราว 150 เยนต่อดอลลาร์ แม้เธอจะให้ความเห็นว่าต้องดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนสะท้อนปัจจัยพื้นฐานก็ตามที และไม่ได้ให้ความเห็นต่อนโยบายการเงินของแบงก์ชาติญี่ปุ่น
คาทายาม่าป็นผู้รู้จักกลไกการทำงานและบุคลากรในแวดวงอัตราแลกเปลี่ยนของญี่ปุ่นเป็นอย่างดี นอกจากนี้ นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนของเธอต้องคำนึงถึงปัญหาเงินเฟ้อที่ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของชาวญี่ปุ่นเป็นอันมากในขณะนี้
ทั้งนี้ จุดเด่นของคาทายาม่าคือเคยทำงานในหน่วยงานราชการของกระทรวงการคลังญี่ปุ่น ทำให้ล่วงรู้กลไกการหารายได้ใหม่ๆ เพิ่มเติมให้กับรัฐบาลของทาคาอิจิได้เป็นอย่างดี ซึ่งต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการการคลังอย่างเต็มที่อยู่แล้ว
ในภาพรวม คาทายาม่าน่าจะถือว่าเป็นขุนคลังญี่ปุ่นซึ่งมีลีลาและสีสันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา เนื่องจากชอบแสดงความเห็นแบบเป็นตัวของตัวเองและกล้าตัดสินใจในเรื่องที่ไม่ง่ายนักต่อการฟันธง