
ปี 2026 กำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของตลาดการเงินโลก เมื่อผู้จัดการกองทุนชั้นนำอย่าง J.P. Morgan Wealth Management ออกรายงานคาดการณ์แนวโน้มการลงทุนยาว 69 หน้า ซึ่งชี้ให้เห็นถึงการเข้าสู่ยุค “พรมแดนใหม่” หรือ New Frontier ที่นักลงทุนทุกคนควรเตรียมพร้อมรับมือ ส่วนรายละเอียดจะมีอย่างไรนั้นเราไปชมกันเลย

รายงานฉบับนี้เน้นย้ำว่าโลกการลงทุนกำลังเปลี่ยนแปลงโดยแรงขับเคลื่อนหลัก 3 ประการที่กำลังปรับโครงสร้างเศรษฐกิจโลกอย่างถาวร ได้แก่ การปฏิวัติด้านปัญญาประดิษฐ์ การแตกขั้วของระบบเศรษฐกิจโลก และการกลับมาของเงินเฟ้อเชิงโครงสร้างในระยะยาว ทั้งสามปัจจัยนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวโน้มชั่วคราว แต่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างความมั่งคั่งไปอีกหลายสิบปีข้างหน้า
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI กำลังเพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เพิ่มงบลงทุน (Capex) จาก 150,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 เป็น 405,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2026
ตัวอย่างเด่นชัด คือ OpenAI ที่ร่วมกับ Oracle และ SoftBank ในโครงการ Stargate ลงทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาด 10 GW มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปลายปี 2025 โดยมีการลงทุนรวมกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 3 ปีแรก ในขณะที่ Google ประกาศเพิ่มงบลงทุนจาก 75,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็น 85,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2026 เพื่อรองรับความต้องการใช้งาน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ AI มาพร้อมกับความท้าทายหลายประการ การศึกษาจากมหาวิทยาลัย Rhode Island พบว่า GPT-5 ใช้พลังงานต่อคำถามสูงถึง 18 Wh เพิ่มขึ้นจากรุ่น GPT-4 ที่ใช้เพียง 2.12 Wh หรือมากขึ้นประมาณ 2.5 เท่า หากนำ GPT-5 มารองรับคำถาม 2,500 ล้านคำถามต่อวัน จะต้องใช้พลังงาน 45 GWh ต่อวัน เทียบเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 2-3 เครื่องปฏิกรณ์
นอกจากนี้ ปัญหาการใช้น้ำก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทาย การศึกษาจาก Ceres พบว่าศูนย์ข้อมูลในพื้นที่ Phoenix จะใช้น้ำเพิ่มขึ้นจาก 385 ล้านแกลลอนต่อปี เป็น 3,700 ล้านแกลลอนต่อปีภายใน 6 ปี หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 900% ซึ่งทำให้หลายเมืองเริ่มปรับกฎหมายจำกัดการสร้างศูนย์ข้อมูลใหม่
ในด้านกลยุทธ์การลงทุน นักลงทุนควรพิจารณาบริษัทผู้นำด้าน AI เช่น Microsoft, Google และ Nvidia ควบคู่ไปกับบริษัทที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานรองรับ AI ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ชิปประมวลผล และระบบทำความเย็น รวมถึงการลงทุนในตลาด Private Market ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือการที่ Nvidia ลงทุน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน Intel เพื่อร่วมพัฒนาชิปสำหรับคอมพิวเตอร์และศูนย์ข้อมูล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการรวมกำลังระหว่างผู้นำด้าน AI กับผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์เพื่อเสริมความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน

โครงสร้างเศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยนจากยุค Globalization ที่เน้นการผลิตในประเทศที่มีต้นทุนต่ำที่สุด มาสู่ยุค Resilience ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน สหรัฐฯ ลดการนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 22% ลงเหลือ 12% และหันมาใช้นโยบาย Onshoring และ Nearshoring แทน
ในทวีปยุโรป เยอรมนีประกาศเพิ่มงบประมาณด้านกลาโหมเป็น 3.5% ของ GDP ภายในปี 2029 คิดเป็นมูลค่า 162,000 ล้านยูโร รวมถึงการสนับสนุนยูเครน และวางแผนใช้งบ 649,000 ล้านยูโรในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยใช้เงินกู้ 400,000 ล้านยูโรที่ได้รับการอนุมัติจากการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างโอกาสการลงทุนในหลายภูมิภาค โดยเฉพาะประเทศในอเมริกาใต้ที่มีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุปทาน ภูมิภาคนี้ผลิตทองแดง 41% ของโลก โดยชิลีผลิตทองแดง 5.8 ล้านตันต่อปี ขณะที่โบลิเวียมีสำรองลิเธียมมากที่สุดในโลกถึง 21 ล้านตัน แม้ว่าจะยังไม่ได้พัฒนาเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ ประเทศอินเดียและไต้หวันยังคงเป็นศูนย์กลางสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐและการลงทุนจากบริษัทต่างชาติ
ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในยุคนี้ประกอบด้วย กลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและความมั่นคงทางไซเบอร์ กลุ่มพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้า กลุ่มแร่ธาตุสำคัญและโลจิสติกส์ รวมถึงหุ้นในตลาดอินเดีย ไต้หวัน และบางประเทศในอเมริกาลาติน
หนึ่งในความเสี่ยงที่นักลงทุนมักมองข้ามคือเงินเฟ้อเชิงโครงสร้างที่กำลังกลับมา นโยบาย Onshoring และ Nearshoring ทำให้ต้นทุนแรงงานและโลจิสติกส์เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะยาว
ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นในหลายประเทศอาจนำไปสู่ภาวะ Financial Repression ซึ่งรัฐบาลปล่อยให้เงินเฟ้อลดมูลค่าหนี้ลงโดยไม่ต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมากเกินไป ทำให้เงินเฟ้อมีความผันผวนมากกว่าในอดีตและเสี่ยงต่อการเกิดช็อกด้านราคาสินค้า
การถือเงินสดมากเกินไปในช่วงเวลานี้อาจกระทบความมั่งคั่งแบบเงียบๆ เนื่องจากอำนาจซื้อลดลงเรื่อยๆ แม้ว่าจำนวนเงินจะไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นการจัดพอร์ตให้รองรับเงินเฟ้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การเพิ่ม Hedge Fund และ Private Credit ในพอร์ตก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยไม่ควรเกิน 25% ของสัดส่วนตราสารหนี้ทั้งหมด และควรลดการถือเงินสดในระดับที่ไม่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียมูลค่าจากเงินเฟ้อ

รายงานของ J.P. Morgan ยกตัวอย่างหลายกรณีที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกการลงทุน หนึ่งในนั้นคือการที่อัตราการว่างของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกเหลือเพียง 1.6% แสดงให้เห็นถึงความต้องการใช้งานที่สูงมาก
นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยี Big 4 สามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจาก AI ประมาณ 25,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อไตรมาส ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการลงทุนด้าน AI ไม่ได้เป็นเพียงความหวังเท่านั้น แต่เริ่มสร้างรายได้จริงแล้ว
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนในจีนเริ่มหันมาลงทุนหุ้นเทคมากขึ้นหลังจากพิสูจน์ศักยภาพด้าน AI แม้ว่าจะยังล้าหลังในด้านชิปขั้นสูง โดยหุ้นเทคจีนเพิ่มขึ้น 34% ในปี 2025 ทำให้นักลงทุนเริ่มประเมินใหม่ว่าจีนไม่ได้ตามหลังสหรัฐฯ มากเท่าที่เคยคิด
ยุโรปประกาศเปลี่ยนจากยุค “peace dividend” มาสู่ “conflict capex” ด้วยการเพิ่มการลงทุนด้านกลาโหมอย่างมาก โดยเยอรมนีมีรายการจัดซื้ออุปกรณ์มูลค่า 377,000 ล้านยูโร จาก 320 รายการใหม่ โดย 178 รายการมีผู้รับเหมาแล้ว และ 160 รายการเป็นบริษัทเยอรมัน

ปี 2026 มิใช่เพียงศักราชใหม่ของการลงทุน แต่กำลังจะเป็นจุดเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญที่ Kristin Lemkau ซีอีโอของ J.P. Morgan Wealth Management ได้นิยามไว้ในรายงานว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการก้าวเข้าสู่ “พรมแดนใหม่” (New Frontier) ซึ่งนักลงทุนต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากสามปัจจัยหลักที่เกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง ได้แก่
เพื่อสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนท่ามกลางความผันผวนนี้ กลยุทธ์การลงทุนจำเป็นต้องมีความแม่นยำและปรับเปลี่ยนจากรูปแบบเดิม โดยเน้นการมองหาโอกาสเชิงลึกในแต่ละปัจจัยขับเคลื่อน ดังนี้
กลยุทธ์การลงทุนในยุค AI: มองให้ลึกกว่ากระแส มุ่งเน้นโครงสร้างพื้นฐาน
แม้กระแสความตื่นตัวในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง แต่รายงานระบุชัดเจนว่าเรายังไม่เข้าสู่ภาวะฟองสบู่แตก เนื่องจากมีความต้องการใช้งานจริงรองรับ ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนที่ชาญฉลาดในปี 2026 จึงควรมุ่งเน้นไปที่ “กลุ่มผู้นำ” และ “ผู้สร้างรากฐาน” เป็นสำคัญ
นอกจากนี้ ในตลาด Private Market ยังมีโอกาสที่แตกต่างออกไป โดยรายงานแนะนำให้มองหาบริษัทที่พัฒนาระบบแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์ม (Application Layer) ซึ่งคาดว่าจะสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงในช่วงถัดไปของวัฏจักรเทคโนโลยี
การจัดพอร์ตรับมือโลกแตกขั้ว : ความมั่นคงต้องมาก่อนประสิทธิภาพ
ในโลกที่ระบบโลกาภิวัตน์กำลังถดถอยและถูกแทนที่ด้วยการแบ่งขั้วอำนาจ (Fragmentation) กลยุทธ์การลงทุนต้องปรับเปลี่ยนจากการมองหาแหล่งผลิตต้นทุนต่ำที่สุด ไปสู่การมองหา “ความมั่นคง” (Resilience) และพันธมิตรทางยุทธศาสตร์
ภูมิภาคที่น่าจับตามองเป็นพิเศษ คือ “อเมริกาใต้” เนื่องจากเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่โลกต้องการ ไม่ว่าจะเป็นทองแดงในชิลี หรือลิเธียมในอาร์เจนตินา ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ กลุ่มประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าที่แข็งแกร่งกับสหรัฐฯ ผ่านนโยบาย Nearshoring เช่น เม็กซิโกและแคนาดา ก็จะได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐานการผลิตกลับสู่ภูมิภาคใกล้เคียง
ในอีกฟากหนึ่งของโลก ธีมการลงทุนในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense) กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในทวีปยุโรปที่รัฐบาลต่างเร่งเพิ่มงบประมาณกลาโหมเพื่อความมั่นคง ซึ่งเปลี่ยนจากยุคแห่งการปันผลเพื่อสันติภาพ (Peace Dividend) มาสู่การลงทุนเพื่อความขัดแย้ง (Conflict Capex)
การป้องกันความมั่งคั่งจากเงินเฟ้อเชิงโครงสร้าง
แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะดูเหมือนชะลอตัวลง แต่ปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การขาดดุลงบประมาณและการขาดแคลนแรงงาน อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อผันผวนและทรงตัวในระดับสูงยาวนานกว่าในอดีต ดังนั้น การถือครองเงินสดมากเกินไปอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ปลอดภัยในการรักษามูลค่าของสินทรัพย์
กลยุทธ์การลงทุนเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อจึงควรเน้นการถือครอง “สินทรัพย์จริง” (Real Assets) เช่น อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐาน และสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งมีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและช่วยรักษามูลค่าเงินลงทุนได้ รวมถึงทองคำที่ยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าสนใจ
ในส่วนของตราสารหนี้ ควรเน้นตราสารหนี้คุณภาพสูงและตราสารหนี้ภาคเอกชน (Private Credit) ที่ให้ผลตอบแทนน่าดึงดูด นอกจากนี้ การจัดสรรเงินลงทุนบางส่วน (ไม่เกิน 2% ของพอร์ตตราสารหนี้) เข้าสู่กองทุน Hedge Fund หรือ Liquid Alternatives ก็จะช่วยกระจายความเสี่ยงและลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวมได้
ดังนั้น ปี 2026 จะเป็นปีที่นักลงทุนต้องอาศัยความรอบคอบและการบริหารจัดการเชิงรุก (Active Management) การพึ่งพาเพียงดัชนีตลาดอาจไม่เพียงพออีกต่อไป การคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีความแข็งแกร่ง (High Conviction) และการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับทิศทางลมใหม่ของโลก จะเป็นกุญแจสำคัญในการนำพาพอร์ตการลงทุนให้เติบโตได้อย่างมั่นคงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
ข้อสรุปสำคัญ
ปี 2026 ไม่ใช่ปีแห่งการคาดเดาตลาด แต่เป็นปีที่ต้องวางแผนพอร์ตให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง AI ยังคงเป็นโอกาสที่เติบโตต่อได้ แต่นักลงทุนต้องเริ่มลงทุนอย่างมีชั้นเชิงและบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
โลกกำลังแบ่งเป็นหลายขั้วอำนาจ ดังนั้นนักลงทุนต้องรู้ว่าฝั่งไหนหรือภูมิภาคไหนได้เปรียบในระยะยาว การเลือกประเทศและภาคส่วนที่เหมาะสมจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างผลตอบแทน
เงินเฟ้ออาจไม่กระทบทันที แต่กัดเซาะความมั่งคั่งแบบเงียบๆ การจัดพอร์ตที่คำนึงถึงเงินเฟ้อเชิงโครงสร้างจะช่วยปกป้องอำนาจซื้อในระยะยาว รวมถึงการใช้สินทรัพย์ที่มีมูลค่าปรับตามเงินเฟ้อเป็นเครื่องมือสำคัญ
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและติดตามแนวโน้มการลงทุนอย่างต่อเนื่อง สามารถเข้าไปอ่านข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมได้ที่ www.efinancethai.com ซึ่งมีบทความวิเคราะห์และข้อมูลการลงทุนครบถ้วนเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำในการลงทุน ผู้อ่านควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินก่อนตัดสินใจลงทุน

| ปัจจัยขับเคลื่อนหลัก | ข้อมูลสำคัญ | ผลกระทบต่อการลงทุน | ตัวอย่าง/กลยุทธ์ | ภูมิภาค/กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย |
| 1. การปฏิวัติด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) | งบลงทุน AI เพิ่มจาก 150,000 ล้านดอลลาร์ (2023) เป็น 500,000 ล้านดอลลาร์ (2026) OpenAI ร่วม Oracle, SoftBank ลงทุนโครงสร้าง AI 10 GW มูลค่า 500,000 ล้านดอลลาร์ Google เพิ่มงบลงทุนจาก 75,000 ล้านเป็น 85,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2026 GPT-5 ใช้พลังงานสูงขึ้น 2.5 เท่ากว่ารุ่นก่อน และศูนย์ข้อมูลใช้พลังงานและน้ำเพิ่มขึ้นมาก | ความต้องการพื้นฐานโครงสร้าง AI สูงมาก ต้องบริหารความเสี่ยงด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยี AI เติบโตต่อเนื่องแต่ต้องระวังฟองสบู่ | ลงทุนในบริษัทผู้นำเทคโนโลยีใหญ่ เช่น Microsoft, Google, Nvidia ลงทุนในผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ชิป, ระบบทำความเย็น, พลังงาน ลงทุนใน Private Market ที่พัฒนาแอปพลิเคชันและแพลตฟอร์ม AI | เทคโนโลยี, ชิปเซมิคอนดักเตอร์, พลังงาน, เทคโนโลยีสารสนเทศ |
| 2. การแตกขั้วของระบบเศรษฐกิจโลก (Fragmentation) | สหรัฐฯ ลดนำเข้าสินค้าจากจีนจาก 22% เหลือ 12% นโยบาย Onshoring และ Nearshoring เพิ่มขึ้น ยุโรป โดยเยอรมนี เพิ่มงบกลาโหมเป็น 3.5% ของ GDP อเมริกาใต้เป็นแหล่งทองแดง 41% ของโลก, มีลิเธียมในโบลิเวียมากที่สุด อินเดียและไต้หวันเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ | เปลี่ยนจากเน้นต้นทุนต่ำเป็นเน้นความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน โอกาสลงทุนในภูมิภาคที่มีทรัพยากรสำคัญและอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง | ลงทุนในอุตสาหกรรมกลาโหมและความมั่นคงไซเบอร์ในยุโรป ลงทุนในแร่ธาตุสำคัญและโลจิสติกส์ในอเมริกาใต้ ลงทุนหุ้นในตลาดอินเดีย ไต้หวัน และบางประเทศอเมริกาลาติน | อเมริกาใต้, ยุโรป, อินเดีย, ไต้หวัน, เม็กซิโก, แคนาดา |
| 3. เงินเฟ้อเชิงโครงสร้าง (Structural Inflation) | นโยบาย Onshoring เพิ่มต้นทุนแรงงานและโลจิสติกส์ ค่าเช่าที่อยู่อาศัยในสหรัฐฯ สูงขึ้น หนี้สาธารณะสูงเสี่ยงทำให้เงินเฟ้อผันผวนและยาวนานกว่าเดิม การถือเงินสดมากเกินไปเสี่ยงเสียอำนาจซื้อ | เงินเฟ้อมีความผันผวนสูงและทรงตัวในระดับสูง การเน้นสินทรัพย์จริงเพื่อรักษามูลค่า หลีกเลี่ยงถือเงินสดมากเกินไป | เพิ่มการลงทุนในสินทรัพย์จริง เช่น อสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน, พลังงาน, สินค้าโภคภัณฑ์ ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง เช่น TIPS และ Index-linked Gilts เพิ่มสัดส่วน Hedge Fund และ Private Credit ในพอร์ต (ไม่เกิน 25% ของตราสารหนี้) | อสังหาริมทรัพย์, พลังงาน, สินค้าโภคภัณฑ์, ตราสารหนี้คุณภาพสูง |
ตารางสรุป กลยุทธ์จัดพอร์ตรับมือยุค New Frontier
| กลยุทธ์จัดพอร์ตรับมือยุค New Frontier | รายละเอียด |
| ลงทุนในผู้นำเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐาน AI | เลือกหุ้น Microsoft, Alphabet (Google), Meta, Amazon และหุ้นผู้สร้างชิปและโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น Nvidia, Intel |
| เคร่งครัดกับความมั่นคงห่วงโซ่อุปทาน | มองหาภูมิภาคที่มีทรัพยากรสำคัญ เช่น ทองแดง, ลิเธียม ในอเมริกาใต้ และหุ้นในอินเดีย-ไต้หวัน |
| ป้องกันเงินเฟ้อด้วยสินทรัพย์จริง | เน้นอสังหาริมทรัพย์, โครงสร้างพื้นฐาน, สินค้าโภคภัณฑ์ และตราสารหนี้ Index-linked |
| บริหารจัดการเชิงรุก (Active Management) | เลือกหุ้นรายตัว (High Conviction) และปรับพอร์ตตามสถานการณ์ ไม่พึ่งพาแค่ดัชนีตลาด |
อ้างอิงจาก jpmorgan,tomshardware,phoenixnewtimes,bloomberg,reuters และ cnbc
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “Community สังคมแห่งการลงทุน” เพื่อ เชื่อมต่อ พูดคุย แลกเปลี่ยน ไอเดียการลงทุน มาร่วมสร้างเครือข่ายนักลงทุนให้เติบโตไปด้วยกัน เข้าร่วมกับเรา: efinancethaiconnect